ตำรวจ ปทส. เปิดปฏิบัติการไล่ล่าขบวนการค้าไม้เถื่อนข้ามจังหวัด ยึดไม้ประดู่แปรรูปจำนวนมาก

ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เปิดปฏิบัติการระทึก ไล่ล่ารถกระบะดัดแปลงบรรทุกไม้เถื่อนจากอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ข้ามไปจนมุมที่อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน รวบผู้ต้องหาได้ 2 ราย ก่อนจะขยายผลตรวจค้นโกดังในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ยึดไม้ประดู่แปรรูปจำนวนมาก พร้อมเครื่องมือที่ใช้ในการหลบเลี่ยงการจับกุม

พ.ต.อ.ณัทกฤช น้อยคำปัน ผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผกก.4 บก.ปทส.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.จิรายุ อิ่นแก้ว สารวัตรกองกำกับการ 4 บก.ปทส. สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจออกลาดตระเวนบนทางหลวงหมายเลข 108 บริเวณหน้าวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากได้รับรายงานจากสายข่าวว่ามีการลำเลียงสิ่งผิดกฎหมายผ่านเส้นทางดังกล่าว

เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ ติดตั้งตู้ทึบ ซึ่งเป็นรถต้องสงสัยตามที่ได้รับแจ้ง ขับสวนทางมุ่งหน้าไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่จึงขับรถสะกดรอยตาม แต่คนขับรถไหวตัวทันและเร่งเครื่องหลบหนี มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ การไล่ล่าดำเนินไปอย่างระทึก เมื่อมาถึงสี่แยกแม่ขาน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ คนร้ายได้ขับรถฝ่าไฟแดงและหักเลี้ยวขวาอย่างกะทันหัน มุ่งหน้าไปบนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 (ลำพูน-ป่าซาง)

จนกระทั่งรถของคนร้ายมาถึงบริเวณบ้านสบทา ตำบลปากบ่อง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจเร่งความเร็วรถขับแซงและปาดหน้ารถคันดังกล่าว จนรถหยุดนิ่งสนิท พบชายเป็นคนขับคือนายณัฐ (นามสมมุติ) อายุ 51 ปี ชาวอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน และมีนางจอย (นามสมมุติ) อายุ 45 ปี ชาวอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ นั่งมาด้วยกัน จากการตรวจค้นหลังรถ พบไม้ประดู่แปรรูปขนาดใหม่จำนวน 6 แผ่น ซึ่งไม่มีเอกสารการครอบครองไม้ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรป่าซาง

จากการสอบปากคำ ทั้งสองให้การว่ายังมีไม้แปรรูปซุกซ่อนอยู่ที่โกดังแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวนมาก ต่อมา พ.ต.ต.จิรายุ อิ่นแก้ว พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 บก.ปทส., เจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน, เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33, เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรหางดง และเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและรักษาป่าที่ ชม.13 ได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นโกดังแห่งหนึ่งบริเวณถนนเลียบคลองชลประทาน บ้านสันทราย ตำบลหนองแก๋ว อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งหัตถกรรมชื่อดังบ้านถวาย

ผลการตรวจค้น พบไม้ประดู่แปรรูปขนาดใหญ่รวม 87 แผ่น ซุกซ่อนอยู่ภายในโกดัง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้พบเครื่องตรวจจับโลหะ ซึ่งระบุว่าขบวนการค้าไม้เถื่อนจะใช้เครื่องมือดังกล่าวในการตรวจจับอุปกรณ์ GPS ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตั้งไว้กับไม้ที่ถูกตัดทิ้งในป่า เพื่อป้องกันการติดตามก่อนที่จะขนไม้ออกจากป่า

เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาในข้อหา “มีไม้หวงห้ามแปรรูปชนิดอื่นเป็นจำนวนเกิน 0.20 ลูกบาศก์เมตรไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “ร่วมกันรับไว้ด้วยประการใดซ่อนเร้น หรือช่วยพาเอาไปเสียให้พ้นซึ่งไม้ที่ตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้หรือของป่าที่มีผู้ได้มาโดยกระทำผิดต่อบทบัญญัติพระราชบัญญัติป่าไม้”

พายุพัดถล่มดอยเต่า! กุฏิเสียหาย 3 หลัง วัดฉิมพลีวุฒาราม วอนสำนักพุทธฯ เร่งซ่อมแซม

อ.ดอยเต่า เชียงใหม่ เร่งสำรวจความเสียหายหลังเกิดพายุลมแรงพัดถล่มวัดฉิมพลีวุฒาราม ทำให้กุฏิสงฆ์เสียหาย 3 หลัง สำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่เตรียมเสนอแผนซ่อมแซม ขณะที่หน่วยงานในพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือเบื้องต้

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. เกิดเหตุพายุลมแรงพัดถล่มในพื้นที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้วัดฉิมพลีวุฒาราม บ้านแปลง 4 ตำบลมืดกา ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

นายเพิ่มศักดิ์ ศรีสวัสดิ์ นายอำเภอดอยเต่า ได้มอบหมายให้ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ปกครอง และสมาชิก อส. ร้อย.อส.อ.ดอยเต่า 18 ลงพื้นที่ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ และผู้ใหญ่บ้านบ้านแปลง 4 เพื่อเข้าตรวจสอบความเสียหายของที่พักสงฆ์ภายในวัด

จากการตรวจสอบพบว่า กุฏิสงฆ์จำนวน 3 หลังได้รับความเสียหายจากวาตภัย มีกิ่งไม้ขนาดใหญ่หักโค่นลงมาทับสร้างความเสียหายแก่โครงสร้างหลังคา และกระเบื้องมุงหลังคาแตกกระจาย

เบื้องต้นสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่เตรียมเร่งเสนอแผนงานและโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการซ่อมแซมกุฏิให้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุด ระหว่างนี้หน่วยงานในระดับพื้นที่ได้เข้าให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นการชั่วคราวแล้ว

โวย! ถนนสายหลัก อ.กัลยาณิวัฒนาพังยับกว่า 40 กม. รถพยาบาล-นักเรียนเดือดร้อนหนัก วอนรื้อสร้างใหม่

เชียงใหม่ – ชาวบ้านและผู้ใช้ถนนในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ กำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากสภาพถนนสายหลัก ทางหลวงหมายเลข 1349 (สะเมิง-บ้านวัดจันทร์) ที่ชำรุดทรุดโทรมเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดระยะทางกว่า 40 กิโลเมตร ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเดินทาง โดยเฉพาะรถพยาบาลฉุกเฉินและรถรับส่งนักเรียน ที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงและล่าช้าอย่างไม่น่าให้อภัย ชาวบ้านตัดพ้อผู้ใหญ่ลงพื้นที่แค่ “ปะผุ” ชั่วคราว ก่อนถนนจะกลับไปพังอีก

ถนนพังทั่วทั้งอำเภอ วิกฤตการเดินทางและส่งต่อผู้ป่วย สภาพถนนสายสะเมิง-บ้านวัดจันทร์ ที่เป็นเส้นทางหลักเข้าออกอำเภอกัลยาณิวัฒนา เต็มไปด้วยหลุมบ่อขนาดใหญ่และรอยกัดเซาะจากน้ำตลอดระยะทางกว่า 40 กิโลเมตร โดยเฉพาะช่วง 2 กิโลเมตรในพื้นที่บ้านวัดจันทร์ ต.วัดจันทร์ ที่เป็นทางขึ้นเขาคดเคี้ยว ยิ่งในช่วงฤดูฝน น้ำฝนที่ไหลหลากลงมาบนถนนยิ่งทำให้การสัญจรเป็นไปอย่างยากลำบากและเสี่ยงอันตราย
นางสาวรัตติกาล สาธุเม พยาบาลวิชาชีพ หัวหน้าห้องคลอด โรงพยาบาลวัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เผยว่า สภาพถนนที่เสียหายส่งผลให้การส่งต่อผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลในตัวเมืองเชียงใหม่ล่าช้าออกไปถึง 15-25 นาที สำหรับระยะทางเพียง 2 กิโลเมตรบนถนนที่พัง การเดินทางที่ปกติใช้เวลา 3 ชั่วโมง กลับยาวนานขึ้นและเสี่ยงอันตรายมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยใกล้คลอด หรือผู้ป่วยที่สวมเครื่องช่วยหายใจ ที่ต้องการความนิ่งและรวดเร็วในการส่งต่อ แต่ละเดือนโรงพยาบาลต้องส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ป่วยในเฉลี่ย 25-30 ราย
นอกจากนี้ นายประวิทย์ สุริยมณฑล ผู้อำนวยการโรงเรียนสหมิตรวิทยา ยังกล่าวด้วยความกังวลว่า เด็กนักเรียนที่ต้องใช้เส้นทางนี้ไปโรงเรียนประสบอุบัติเหตุรถล้มเกือบทุกวัน และเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนจากน้ำที่กระเด็นใส่ “ถนนเส้นนี้สร้างมา 10 กว่าปีไม่มีใครมาดูแลเลย” นายประวิทย์กล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อมีผู้ใหญ่มาที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา ก็มักจะเห็นการนำดินมา “ปะ” ถนนชั่วคราว แต่พอผู้ใหญ่กลับไป ถนนก็กลับมาพังเหมือนเดิม ทำให้ชาวบ้านเบื่อหน่ายกับสภาพปัญหาที่เรื้อรัง

ชาวบ้านสุดทน รวมตัวซ่อมเอง-วอนรื้อสร้างใหม่ทั้งสาย นายธีรภัทร์ ร่มต้นธรรม กำนันตำบลวัดจันทร์ ระบุว่า ถนนเส้นนี้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2553 โดยมีการนำยางพารามาทดลองทำถนน แต่ไม่มีการสร้างอย่างจริงจัง จนปัจจุบันชำรุดเสียหายทั้งสายกว่า 40 กิโลเมตร ตั้งแต่บ้านแม่ตะละ ต.แม่แดด ที่เคยเกิดดินสไลด์ 3 จุดเมื่อปีก่อน ซึ่งยังไม่มีการซ่อมแซม และยังคงเป็นทางคดเคี้ยวขึ้นเขา ผิวถนนเสียหายตลอด โดยเฉพาะช่วงบ้านแม่ตะละ-บ้านแม่แดดน้อย และบ้านวัดจันทร์-บ้านแจ่มน้อย ที่มีหลุมลึกและกว้างเต็มผิวถนนไม่ต่ำกว่า 2 กิโลเมตร

ผู้นำชุมชนและชาวบ้านกว่า 100 คน ในอำเภอกัลยาณิวัฒนา ได้รวมกลุ่มชุมนุมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบและปรับปรุงถนนสายนี้อย่างเร่งด่วน เนื่องจากสร้างความเดือดร้อนและเป็นอันตรายอย่างมาก หลังจากนั้น ชาวบ้านได้ร่วมแรงร่วมใจกันนำปูนซีเมนต์มาผสมเททับหลุมตามถนนที่เป็นจุดเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วยตนเอง

ชาวบ้านและผู้นำชุมชนได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง แต่ได้รับคำตอบว่าได้ซ่อมแซมให้แล้ว ซึ่งเป็นการปะแปะถนนเพียงชั่วคราว ผิวถนนก็กลับมาเสียหายอีก นายธีรภัทร์ เปิดเผยถึงความต้องการของชาวบ้านว่า อยากให้มีการ รื้อผิวถนนทั้งหมดเพื่อทำใหม่และขยายผิวถนนให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่แค่การซ่อมแซมแบบชั่วคราวอย่างที่เคยเป็นมา

เชียงดาวเร่งเปิดทางเบี่ยง หลังถนนสายเชียงดาว-เมืองคองขาด

เชียงดาว, 27 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์ถนนสายเชียงดาว – เมืองคอง บริเวณ กม.13 + 100 ได้พังทลายขาดลง ทำให้รถยนต์ไม่สามารถสัญจรผ่านได้ หลังมีฝนตกหนักและสถานการณ์น้ำหลากในพื้นที่

นายกฤตพล รชตเมธานนท์ นายอำเภอเชียงดาว/ผอ.ศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอเชียงดาว ไม่รอช้า สั่งการให้นายพัฒนา ก๋ามะโน ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง พร้อมกำลังพลสมาชิก อส.อ.เชียงดาว ที่ 6 บูรณาการกำลังร่วมกับหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงาน ปภ.จังหวัดเชียงใหม่ สาขาเชียงดาว, อบต.เชียงดาว, อบต.เมืองคอง, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว, หมวดทางหลวงชนบท และ นพค.32 เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและทำทางเบี่ยงสำรอง

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ประสานรถกู้ภัยเข้าช่วยเหลือลำเลียงผู้ป่วยในพื้นที่ 1 ราย ออกมาเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล

จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด คาดว่า จะสามารถเปิดใช้เส้นทางเบี่ยงได้ในช่วงบ่ายของวันนี้ (27 พฤษภาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรผ่านไปมาได้ในเบื้องต้น

ทางศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอเชียงดาว จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมให้ทราบหากมีการเปลี่ยนแปลง

ชลประทานเชียงใหม่ สั่งเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากลำน้ำขาน หลังฝนตกหนัก

เชียงใหม่, 25 พฤษภาคม 2568 – โครงการชลประทานจังหวัดเชียงใหม่สั่งเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด หลังมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน โดยเฉพาะบริเวณลำน้ำขานที่พบน้ำป่าไหลหลาก อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ชลประทานที่ลงพื้นที่ตรวจสอบเบื้องต้นยืนยันว่าสถานการณ์ยังไม่ถึงจุดวิกฤติ

นายเกื้อกูล มานะสัมพันธ์สกุล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ทางโครงการฯ ได้เตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนตาม 9 มาตรการของกรมชลประทาน โดยกำชับให้มีการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำไม่ให้เกินร้อยละ 80 ของความจุ ปัจจุบันมีอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 3 แห่งที่เกินร้อยละ 80 ของความจุ ได้แก่ อ่างเก็บน้ำแม่ตะไคร้ อ.แม่ออน, อ่างเก็บน้ำแม่จอกหลวง อ.แม่ริม และอ่างเก็บน้ำแม่ข้อน อ.เชียงดาว ซึ่งกำลังเร่งระบายน้ำเพื่อรองรับปริมาณฝนที่คาดว่าจะตกลงมาเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำฯ และหัวหน้าฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาทั้ง 8 แห่ง เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มอย่างใกล้ชิด ประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกคูคลอง และเตรียมเครื่องสูบน้ำล่วงหน้าหากเกิดสถานการณ์อุทกภัย

สำหรับลำน้ำขาน ที่อุทยานแห่งชาติออบขานได้แจ้งเตือนให้ประชาชนท้ายน้ำเฝ้าระวัง เนื่องจากระดับน้ำสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากมวลน้ำจาก อ.สะเมิง ทางชลประทานเชียงใหม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างเร่งด่วนแล้ว เบื้องต้นพบว่ามีน้ำป่าไหลหลากจริง แต่ระดับน้ำที่สถานีวัดน้ำ ST.02 บ้านกลาง อ.สันป่าตอง ยังอยู่ที่ 3.20 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับวิกฤติที่ 4.80 เมตร เช่นเดียวกับน้ำแม่วางที่ระดับน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย

โครงการชลประทานเชียงใหม่ได้เตรียมความพร้อมด้วยการจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำ 59 เครื่อง และประสานเครื่องจักรจากหน่วยงานอื่น ๆ รวมถึงติดตั้งเครื่องตรวจวัดปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำในแม่น้ำสายต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้สามารถประมวลผลข้อมูลและแจ้งเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมย้ำให้เจ้าหน้าที่คำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานเป็นหลัก

ขณะเดียวกัน นายรวมพล พานิกร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติออบขาน ได้ประกาศปิดการท่องเที่ยวและพักแรมในอุทยานฯ ชั่วคราว เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำขานบริเวณที่ทำการอุทยานฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้แจ้งเตือนประชาชนในลุ่มน้ำขาน โดยเฉพาะ อ.สันป่าตอง และ อ.แม่วาง ให้เฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากอย่างใกล้ชิด

แก้ปัญหามะม่วงล้นดอยหล่อ! “เฮียเส่ง” ประสานพาณิชย์ ช่วยดันราคา 8 บาท/กก.

กระทรวงพาณิชย์จับมือจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การประสานงานของ “เฮียเส่ง” (นายสุรพล เกียรติไชยากร) เร่งเข้าช่วยชาวสวนมะม่วงในอำเภอดอยหล่อ หลังผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำหนัก โดยเปิดจุดรับซื้อมะม่วงแฟนซี 4 สายพันธุ์ถึงพื้นที่ในราคากิโลกรัมละ 8 บาท ตั้งเป้าระบายผลผลิต 4,000 ตัน สู่ตลาดธงฟ้าทั่วประเทศ หวังดันราคาที่เคยต่ำสุดกิโลกรัมละ 2 บาทให้ขยับสูงขึ้น บรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรโดยด่วน

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา ณ อาคารรวบรวมผลผลิตแปลงใหญ่มะม่วง ต.ดอยหล่อ อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้รับการประสานงานจาก นายสุรพล เกียรติไชยากร หรือ “เฮียเส่ง” ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่และพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดจุดรับซื้อมะม่วง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนมะม่วงที่กำลังเผชิญปัญหาราคาตกต่ำและผลผลิตล้นตลาดอย่างหนักในปีนี้

นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ปี 2568 จังหวัดเชียงใหม่คาดการณ์ว่าจะมีมะม่วงออกสู่ตลาดกว่า 67,000 ตัน โดยเฉพาะมะม่วงกลุ่มแฟนซี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ จินหง งาช้างแดง R2D2 และจักรพรรดิ ที่ราคาปัจจุบันตกต่ำอย่างมาก การเข้ามารับซื้อถึงพื้นที่โดยบริษัทมาตาฯ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยพยุงราคาและระบายผลผลิต

ด้านนางกนกรัตน์ ยุกติรัตน์ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า การรับซื้อมะม่วงกลุ่มแฟนซีครั้งนี้ จะรับซื้อในเกรดคละ ราคากิโลกรัมละ 8 บาท ตั้งเป้าปริมาณ 1,000 ตัน เพื่อกระจายไปยังจุดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าทั่วประเทศ และเตรียมเชื่อมโยงสู่จุดขายในปั๊มน้ำมัน เพื่อดึงผลผลิตออกจากจังหวัดเชียงใหม่ให้ได้มากที่สุด ขณะที่นายมานิตย์ ไหวไว นายอำเภอดอยหล่อ เสริมว่า ผลผลิตมะม่วงปีนี้มีปริมาณมากผิดปกติจากสภาพอากาศที่ดี การเข้ามารับซื้อถึงพื้นที่เช่นนี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่ดีขึ้น และยังช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างมาก

นายสุรพล เกียรติไชยากร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะตัวแทนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้ประสานงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้เข้ามาช่วยแทรกแซงราคามะม่วงที่ตกต่ำเป็นครั้งแรกของอำเภอดอยหล่อ ซึ่งมีผลผลิตเฉพาะอำเภอดอยหล่อกว่า 4,000 ตัน จากพื้นที่ปลูกกว่า 3,000 ไร่ การเข้ามาซื้อถึงพื้นที่จะส่งผลให้ราคามะม่วงขยับสูงขึ้นได้ในที่สุด

สำหรับการปล่อยรถส่งมะม่วงแฟนซี 2 คันในวันแรกของการรับซื้อนี้ ทางบริษัทมาตาฯ จะส่งมะม่วงคันแรกไปยังหน่วยงานวิจัย เพื่อทดสอบการแปรรูปในรูปแบบต่างๆ สำหรับแนวทางแก้ปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืน ส่วนรถบรรทุกมะม่วงอีกคันจะถูกส่งไปกระจายให้กับผู้ประกอบการและห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพื่อเป็นตัวอย่างในการขยายช่องทางการจำหน่ายต่อไป

ชายฉกรรจ์อ้างเป็นตำรวจอุ้มหนุ่มฮอดรีดเงิน 7 พันบาท กล่าวหาเมาแล้วขับ

ชายฉกรรจ์ 2 คน อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บุกจับกุมชายหนุ่มวัย 21 ปี ที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ขณะกำลังกลับจากงานเลี้ยงสังสรรค์และจอดรถแวะปัสสาวะข้างทางบนถนนสายฮอด-ดอยเต่า โดยกล่าวหาว่าผู้เสียหายเมาแล้วขับ ก่อนจะพาเหยื่อขึ้นรถขับวนเวียนบริเวณทะเลสาบดอยเต่าหลายจุด พร้อมทั้งพูดจาและใช้อาวุธข่มขู่จนผู้เสียหายเกิดความหวาดกลัว จากนั้นได้บังคับให้โทรศัพท์หาญาตินำเงินมาให้ 20,000 บาท เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดี หลังจากการเจรจาต่อรองนานเกือบ 4 ชั่วโมง จึงลดเหลือ 7,000 บาท ก่อนจะยอมปล่อยตัวไป

นายเล็ก (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี ชาวบ้านตาลใต้ ต.บ้านตาล อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ เล่าเหตุการณ์ เมื่อเวลา 00.57 น. ของวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่า ขณะที่ตนกำลังขับรถกระบะที่ยืมมาจากเพื่อน เพื่อกลับจากงานเลี้ยงที่หมู่บ้านห้วยทรายแล้ง ต.บ้านตาล อ.ฮอด และกำลังจะไปหาแฟนสาวที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในพื้นที่ อ.ดอยเต่า เมื่อขับรถมาถึงบริเวณบ้านดงดำ ต.ฮอด อ.ฮอด ซึ่งเป็นรอยต่อเขตอำเภอดอยเต่า ก็เกิดอาการปวดปัสสาวะ จึงจอดรถทำธุระข้างทาง

หลังจากทำธุระเสร็จและกำลังจะขึ้นรถเพื่อขับไปต่อ มีชายฉกรรจ์ 2 คน อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งไม่ได้สวมเครื่องแบบ ได้แสดงบัตรประจำตัว แต่ตนมองไม่ชัดว่าเป็นตำรวจหน่วยไหน ชายทั้งสองได้ขอตรวจค้นภายในรถ แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย จากนั้นจึงถามตนว่าได้ดื่มสุรามาหรือไม่ ตนยอมรับว่าเพิ่งกลับจากการสังสรรค์ที่บ้านเพื่อน และกำลังจะขับรถไปทำธุระที่อำเภอดอยเต่า ชายทั้งสองจึงได้พูดว่าจะนำตัวไปดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับ โดยที่ไม่ได้ตรวจปัสสาวะหรือเป่าแอลกอฮอล์แต่อย่างใด ก่อนจะพาตนขึ้นรถกระบะโตโยต้าสี่ประตูสีขาว ส่วนชายอีกคนได้ขับรถกระบะของตนตามมา มุ่งหน้าไปอำเภอดอยเต่าก่อนจะเลี้ยวเข้าทะเลสาบดอยเต่า และขับรถพาตนเข้าเส้นทางเปลี่ยว จอดรถเปลี่ยนจุดไปมาในเขตติดต่อ อ.ดอยเต่า และ อ.ฮอด รวม 7-8 จุด ตนได้บอกว่ามีเงินสดติดตัว 1,000 บาท

ระหว่างนั้น ชายทั้งสองได้ใช้อาวุธ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นมีดหรืออาวุธปืน วางกับเบาะรถจ่อที่ข้างลำตัวตน พร้อมกับข่มขู่ให้ตนโทรศัพท์ติดต่อญาติให้นำเงิน 20,000 บาทมาจ่าย เพื่อเป็นการแลกกับการไม่ต้องส่งตัวตนไปดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ ตอนนั้นตนรู้สึกกลัวมาก เกรงว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิต จึงได้โทรศัพท์บอกนายหนุ่ม (นามสมมุติ) อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นพี่ชาย ให้ช่วยนำเงินมามอบให้ชายทั้งสองคนที่ควบคุมตัวตนไว้ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้โทรศัพท์ติดต่อญาติอีกหลายคนเพื่อให้ไปบอกพี่ชายตนที่บ้าน จนในที่สุด ตนได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ชายใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ซึ่งระหว่างที่มีการเจรจาพูดคุยกัน ตนได้โอกาสตอนที่ชายคนดังกล่าวเผลอ จึงหยิบใบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องของรถยนต์คันดังกล่าว ซึ่งระบุหมายเลขทะเบียนรถเอาไว้ จนในที่สุดชายฉกรรจ์ทั้งสองคนสามารถติดต่อกับพี่ชายตนได้ และนำตัวมาปล่อยที่รถยนต์ของตนที่ชายอีกคนขับมาจอดไว้

ด้านนายหนุ่ม (นามสมมุติ) อายุ 31 ปี พี่ชายของนายเล็ก ผู้เสียหาย เล่าว่า หลังจากทราบว่าน้องชายตนถูกจับ ในตอนแรกยังเข้าใจว่าน้องชายตนไปยืมรถเพื่อนแล้วไปก่อเรื่อง ขณะที่คุยโทรศัพท์กับน้องชาย ตนก็ได้บ่นไปว่าดึกดื่นแล้วยังไปก่อเรื่องอีก แต่เมื่อคุยกับน้องชายหลายๆ รอบ จึงเริ่มมั่นใจว่าน้องชายถูกชายที่อ้างตัวเป็นตำรวจจับ จึงพยายามขอพูดคุยกับชายคนดังกล่าวแต่ได้รับการปฏิเสธ ตนจึงแสดงตัวว่าเป็นพี่ชายของน้องชาย และได้รับโอกาสพูดคุยกับชายคนดังกล่าวผ่านข้อความแชททางโทรศัพท์ของน้องชาย แม้ว่าสายโทรศัพท์จะถูกตัดไปหลายครั้ง แต่ก็สามารถติดต่อกันได้ในที่สุด ทราบว่าน้องชายอยู่กับคนที่อ้างตัวเป็นตำรวจ ระหว่างนั้นมีการโทรศัพท์เข้ามาและถูกตัดสายทิ้งหลายครั้ง ทำให้รู้สึกเหมือนถูกบังคับอยู่ว่าถูกตำรวจจับข้อหาเมาแล้วขับ และต้องการให้นำเงิน 20,000 บาท ไปมอบให้ชายทั้งสอง ตนจึงได้แจ้งให้นายอินชัย เตจาบูรณ์ ผู้ใหญ่บ้านตาลใต้ เพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฮอด เนื่องจากตนไม่เชื่อว่ากลุ่มคนที่จับตัวน้องชายตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง เพราะไม่มีการนำตัวน้องชายตนส่งสถานีตำรวจ และมีการเรียกร้องเงิน ซึ่งต่อรองกันจนเหลือ 7,000 บาท

เมื่อไปถึงสถานีตำรวจภูธรฮอด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ช่วยเหลือวางแผนที่จะจับกุมตัวชายทั้งสอง แต่ด้วยความเกรงว่าน้องชายจะได้รับอันตราย นายหนุ่มจึงได้โทรศัพท์ไปหาน้องชาย เพื่อพูดคุยกับชายคนดังกล่าวต่อรองการจ่ายเงินและขอให้ปล่อยตัวน้องชาย โดยได้นัดหมายให้นำเงินไปวางไว้ที่ทางเข้าบ้านดงดำ ต่อมาชายคนดังกล่าวได้แจ้งให้ย้ายจุดส่งเงิน โดยให้นำไปวางไว้ที่ใต้ป้ายวัดดอยอูบแก้ว ต.ฮอด อ.ฮอด เป็นเงินจำนวน 6,000 บาท ซึ่งประกอบด้วยธนบัตรใบละ 500 บาท จำนวน 10 ใบ และธนบัตรใบละ 1,000 บาท จำนวน 1 ใบ รวมกับเงิน 1,000 บาทที่ติดตัวน้องชาย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 7,000 บาท เมื่อวางเงินแล้ว นายหนุ่มก็ขับรถกลับไปยัง สภ.ฮอด เพื่อรอการปล่อยตัวน้องชาย

ต่อมา นายหนุ่มทราบว่า มีชายอีกคนมารอรับเงิน ส่วนน้องชายตนอยู่ในรถกระบะกับชายอีกคน หลังจากที่ทั้งสองคนได้รับเงิน จึงพาน้องชายมาส่งที่รถซึ่งจอดไว้บนทางเปลี่ยวใกล้กับบ้านดงดำ เมื่อพบน้องชาย ตนกับผู้ใหญ่บ้านจึงพาน้องชายไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.ฮอด ไว้เป็นหลักฐาน

ขณะที่ นายอินชัย เตจาบูรณ์ ผู้ใหญ่บ้านตาลใต้ เปิดเผยว่า หลังจากได้รับแจ้งจากนายหนุ่มว่าน้องชายถูกชายฉกรรจ์ 2 คน อ้างตัวเป็นตำรวจแล้วพาขึ้นรถไปเพื่อเรียกรับเงินค่าปรับข้อหาเมาแล้วขับ ตนจึงสงสัยว่าการกระทำดังกล่าวไม่น่าจะเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้พานายหนุ่มไปที่ สภ.ฮอด เพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามตัวน้องชาย ซึ่งได้มีการวางแผนที่จะให้นายหนุ่มนำเงินไปให้แล้วให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุม แต่นายหนุ่มเกรงว่าน้องชายจะได้รับอันตราย เนื่องจากขณะที่มีการโทรศัพท์ผ่านเครื่องของน้องชาย นายหนุ่มเชื่อว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เกรงว่าคนอื่นจะรู้หมายเลขโทรศัพท์ ตลอดระยะเวลาที่มีการต่อรองกัน เหตุการณ์คล้ายกับการถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ ซึ่งบางครั้งผู้เสียหายมีโอกาสได้ถือโทรศัพท์และแชทบอกกับพี่ชายว่า “พี่ให้รีบเอาเงินมาให้เขามาก่อนที่จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก” แสดงให้เห็นว่า ระหว่างที่มีการควบคุมตัว ผู้เสียหายถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ข่มขู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้เสียหายไม่กล้าหลบหนี

ผู้ใหญ่บ้านตาลใต้ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในพื้นที่ดังกล่าวเกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้บ่อยครั้ง ล่าสุดหลังเกิดเหตุการณ์นี้ ซึ่งเกิดขึ้นกับลูกบ้านของตน มีชาวบ้านที่ถูกกระทำในลักษณะคล้ายคลึงกัน ติดต่อให้ข้อมูลกับตนแล้ว 5-6 ราย หลังจากนี้จะได้มีการประสานขอข้อมูลจากผู้เสียหายคนอื่นๆ อีกครั้งว่า เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันที่ก่อเหตุกับนายเล็ก ลูกบ้านของตนหรือไม่

ขณะเดียวกัน พลเมืองดีได้นำคลิปเสียงการเจรจาต่อรอง ระหว่างญาติผู้เสียหายกับหนึ่งในชายฉกรรจ์มามอบให้ ซึ่งข้อความสนทนาแสดงให้เห็นว่า ญาติผู้เสียหายพยายามพูดคุยกับชายคนดังกล่าวว่า “ตอนนี้มีเงินไม่พอ มีเพียง 5,000 บาทเท่านั้น ไม่พอที่จะจ่ายให้ชายที่อ้างตัวเป็นตำรวจได้มากกว่านี้” และพยายามพูดคุยให้ชายคนดังกล่าวส่งตัวผู้เสียหายไปดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ และขอไปเสียค่าปรับที่สถานีตำรวจ ทำให้เกิดการถกเถียงกันตลอดระยะเวลาที่มีการพูดจาต่อรองจนไม่สามารถตกลงกันได้

ไฟไหม้บ้านที่ดอยเต่า: คาดไฟฟ้าลัดวงจรบนที่นอน วอดเสียหาย เร่งช่วยเหลือ!

เชียงใหม่, 23 พฤษภาคม 2568 – เกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชนที่บ้านเลขที่ 130/1 หมู่ 2 บ้านแปลง 1 ตำบลมืดกา อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อช่วงเช้าวันนี้ โดยสันนิษฐานว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร

รายงานจากอำเภอดอยเต่าระบุว่า ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านของ นายภิรมย์ ณ วันติ๊บ ซึ่งตั้งอยู่บ้านแปลง 1 ทันทีที่ทราบเรื่อง นายเพิ่มศักดิ์ ศรีสวัสดิ์ นายอำเภอดอยเต่า ได้สั่งการให้ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง สมาชิก อส. ร้อย.อส.อ.ดอยเต่า 18 เข้าพื้นที่ระงับเหตุอย่างเร่งด่วน พร้อมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ได้แก่ กำนันตำบลมืดกา ฝ่ายปกครองหมู่ 2 เทศบาลตำบลท่าเดื่อ-มืดกา องค์การบริหารส่วนตำบลท่าเดื่อ องค์การบริหารส่วนตำบลดอยเต่า องค์การบริหารส่วนตำบลบงตัน และองค์การบริหารส่วนตำบลโปงทุ่ง เพื่อเข้าร่วมควบคุมสถานการณ์

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายปวรุตม์ สมเกตุ ซึ่งเป็นหลานชายของผู้เสียหายและเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ได้กลิ่นไหม้ออกมาจากตัวบ้านบริเวณชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องนอน เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็พบว่ามีกระแสไฟฟ้าช็อตอยู่บริเวณเต้าเสียบปลั๊กไฟ และเกิดประกายไฟตกลงบนที่นอน ทำให้เพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ในเวลา 11.20 น. เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ขณะนี้ อำเภอดอยเต่ากำลังเร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุตามระเบียบกฎหมายต่อไป

สืบสวนฯภาค 5 จับวัยรุ่นแอบขายบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำกระท่อมให้กับเยาวชน

ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 5 กวาดล้างจับวัยรุ่นลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้ายึดบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์การสำจำนวนมากนอกจากนี้ยังได้ขยายผลจับกุมวัยรุ่นลักลอบจำหน่ายน้ำกระท่อม ผสมยาแก้ไอรสชาติต่างๆให้กับเยาวชน ซึ่งอยู่ห่างจากสถานศึกษาเพียง 600 เมตร

พ.ต.อ.ทักษิณ จันทะวงค์ รอง ผบก.สส.ภ.5 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน กองกำกับกลางปฏิบัติการพิเศษภาค 5 เข้าจับกุม นายชัย นามสมมุติ อายุ 24 ปี ชาวบ้าน ต.ปางหมู อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอนและนางสาวพร นามสมมุติ อายุ 20 ปี ชาวบ้าน ต.ฟ้าฮ่าม อ.เมืองเชียงใหม่ ที่บริเวณหน้าร้านข้าวมันไก่แห่งหนึ่ง บนถนนสายเชียงใหม่-สันกำแพง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า 24 อัน,หัวพอต 30 อัน , น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าชนิดเติม 156 อัน,เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า,ชนิดใช้แล้วทิ้ง 27 อัน,เครื่องบุหรี่ไฟฟ้าชนิดเติมน้ำยา 10 อัน,หัวเติมน้ำยา 9 กล่อง,หัวพอตใช้แล้วทิ้ง 63 อัน,หัวเครื่องบุหรี่ไฟฟ้า 27 กล่อง,โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง และ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ HONDA PCX สีดำ 1 คัน เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ซื้อ รับไว้ โดยประการใด ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามฯ,และให้บริการขายสินค้าบุหรี่ไฟฟ้าหรือด้วยน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าอันเป็นความผิดฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ

ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการสืบสวน กก.ปพ.บก.สส.ภ.5 ได้ขยายผลเข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งอยู่ถนนหมื่นด้ามพร้าคต ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ได้จับกุมนายลักษณ์ นามสมมุติ อายุ 22 ปี ชาวบ้าน ต.บ้านแป้น อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน พร้อมของกลาง ยาแก้ไอ 16 ขวด ,ยาแก้แพ้ยี่ห้อต่างๆรวม 144 ขวด,ยาแก้ปวด 126 แผง แผงละ 10 เม็ดและน้ำกระท่อม 5 ขวด โดยเจ้าหน้าที่แจ้งหา 1. ผลิต หรือขาย ผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ,ผลิต หรือขาย ผลิตภัณฑ์สมุนไพรทีไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำหรับที่ไม่ได้แจ้งรายละเอียดฯ,มีวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 (ยาแก้ไอ/แก้แพ้) ไว้ในความครอบครองเกินที่กฎหมายกำหนดโดยผิดกฎหมาย

ด้าน พ.ต.อ.ทักษิณ จันทะวงค์ รอง ผบก.สส.ภ.5 เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาได้ลักลอบจำหน่ายบุรี่ไฟฟ้าให้กับเยาวชนผ่านทางไลน์ ซึ่งจากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองจึงได้ขยายผลกับกุมหนุ่มวัยรุ่นที่ลักลอบจำหน่ายน้ำกระท่อม ผสมยาแก้ไอรสชาติต่างๆ ตามความต้องการของลูกค้า ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนในพื้นที่ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภาค 5 อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป

ตำรวจ ปทส บุกจับบ่อดินอ้างขุดดินเพราะสงสารชาวบ่านถูกน้ำท่วม

ตำรวจ ปทส.สนธิกำลัง บุกจับบ่อขุดดินเถื่อนกลางหมู่บ้านดอน ต.โป่งน้ำร้อน อ.ฝาง จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบใช้เครื่องจักรขุดตักลักลอบขายดินทั่วพื้นที่ แต่ผู้ต้องหาให้การโดยอ้างว่าขุดดินเพราะความสงสารชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจ ปทส.ได้สั่งการให้ ว่าที่พ.ต.ต.จิรายุ อิ่นแก้ว สารวัตร กก.4 บก.ปทส. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปทส.ชุดปฏิบัติการ จ.เชียงใหม่ เข้าพื้นที่ตรวจสอบบ่ออดินเถื่อนภายในหมู่บ้านดอน ต.โป่งน้ำร้อน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ หลังเจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่ หลังชาวบ้านร้องเรียนได้รับความเดือดร้อน จาการที่มีนายทุนลักลอบใช้รถแบคโฮและรถบรรทุกขุดดินออกจากลำห้วยแม่ใจและที่ดินเอกชนเพื่อนำไปจำหน่ายให้บุคคลนอกพื้นที่ โดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ส่งผลให้ชุมชนได้รับความเดือดร้อนจากเสียงดัง ฝุ่นละออง และอุบัติเหตุบนถนนหมู่บ้าน

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบรถแบคโฮกำลังขุดดินใส่รถบรรทุกหกล้อ ซึ่งเจ้าหน้าที่พบชายคนหนึ่งทราบภายหลังชื่อนายนพ นามสมมุติ อายุ 36 ปี คนขับรถบรรทุก ให้การรับสารภาพว่าเป็นลูกจ้างรายวันของนายณัฐ นามสมมุติ อายุ 40 ปี เจ้าของรถแบคโฮและรถบรรทุก ซึ่งว่าจ้างให้ขุดและขนดินออกจากบ่อส่งตามคำสั่ง พร้อมพาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจุดส่งดินซึ่งพบว่าถูกนำไปใช้ถมที่ก่อสร้างบ้าน ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบใบอนุญาตขุดดินหรือป้ายแสดงเขตประกอบกิจการแต่อย่างใด นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบสมุดบันทึกรายการเที่ยวรถ บ่งชี้ว่ามีการดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่อง

ต่อมานายณัฐฯ ได้เดินทางมาพร้อมกับให้การกับเจ้าหน้าที่อ้างว่า ขุดดินเพราะความสงสารชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทำให้ทรายไหลมากับน้ำทับถมในลำห้วยแม่ใจ ซึ่งไม่มีเจตนาจำหน่ายเพื่อการค้า แต่จากเอกสารพยานหลักฐานที่สามารถตรวจพบได้ต่างๆเจ้าหน้าที่สรุปว่ามีเจตนาแสวงหาประโยชน์ โดยไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการฯ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถแบคโฮและรถบรรทุกหกล้อเป็นของกลาง พร้อมดินที่ขนออกไป ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด พร้อมกับแจ้งข้อหากับนายนพฯและนายณัฐฯ ข้อหาร่วมกัน ตั้งโรงงานจำพวกที่สามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานฯ , ร่วมกัน ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่สามโดยไม่ได้รับอนุญาตฯและร่วมกัน ทำการขุดดินโดยมีความลึกจากระดับพื้นดินเกินสามเมตรหรือมีพื้นที่ปากบ่อดินเกินหนึ่งหมื่นตารางเมตร หรือมีความลึกหรือพื้นที่ตามที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกำหนดโดยไม่แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฝางดำเนินคดีต่อไป 0