ทุ่งยาวโมเดล! ชาวบ้าน จับมือ GULF – CMWTE ตั้งวิสาหกิจชุมชนฯ สานต่ออนุรักษ์ป่าพร้อมสร้างรายได้ยั่งยืน

เชียงใหม่ – ชุมชนบ้านทุ่งยาว อ.ดอยสะเก็ด ผนึกกำลังกับกลุ่มบริษัทกัลฟ์ (GULF) และ บริษัทเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี จำกัด (CMWTE) จัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชนอนุรักษ์ป่าต้นน้ำห้วยต้นยาง” เดินหน้ายุทธศาสตร์ “บิซิเนสโมเดล” เพื่อยกระดับการอนุรักษ์ป่า 2,307 ไร่ พร้อมต่อยอดองค์ความรู้ด้านฐานชีวภาพ สร้างอาชีพและรายได้ให้ชาวบ้าน มุ่งสู่การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

นายสมพงค์ เจริญศิริ กำนันตำบลป่าป้อง และผู้นำนักอนุรักษ์ป่าต้นน้ำห้วยต้นยาง หมู่ 8 บ้านทุ่งยาว ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงความร่วมมือครั้งสำคัญในการจัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชนอนุรักษ์ป่าต้นน้ำห้วยต้นยาง” ซึ่งเป็นผลจากการทำงานร่วมกับกลุ่มบริษัทกัลฟ์ (GULF) และ บริษัทเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี จำกัด (CMWTE) โดยมี นายเสริมพงษ์ พงษ์พิกุล เกษตรอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ให้คำแนะนำและส่งเสริมจนสามารถยื่นจดทะเบียนจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนฯ ได้เรียบร้อยแล้ว

กำนันสมพงค์กล่าวว่า การจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนฯ ครั้งนี้ เป็นการขยายผลและต่อยอดจากการที่ชุมชนร่วมกันอนุรักษ์ป่าต้นน้ำห้วยต้นยางมาอย่างต่อเนื่องกว่า 2 ปี โดยเฉพาะหลังจากที่ GULF และ CMWTE เข้ามาสนับสนุนด้านความรู้เกี่ยวกับฐานชีวภาพ (Bio-Based) และจุลินทรีย์ รวมถึงร่วมกันวิเคราะห์แนวทางการพัฒนา จึงเกิดแนวคิดที่จะจัดตั้งองค์กรชุมชนอย่างเป็นทางการ เพื่อพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้ให้กับชุมชน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ป่าชุมชน ซึ่งหากมีรายได้และงบประมาณที่เพิ่มขึ้น จะช่วยเสริมศักยภาพในการดูแลรักษาป่าของชุมชนได้มากยิ่งขึ้น ถือเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาองค์กรชุมชนและเศรษฐกิจชุมชนตามแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Business Model

ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนฯ มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานหลายด้าน ได้แก่ การก่อตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ชุมชน ซึ่งกำลังดำเนินการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่อใช้ฟื้นฟูป่าชุมชนและในภาคการเกษตรและครัวเรือน เช่น การผลิตหัวเชื้อราไมคอร์ไรซ่า เพื่อใช้เพาะพันธุ์กล้าไม้ป่าสำหรับฟื้นฟูป่าชุมชนและจำหน่ายทั่วไป นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการผลิตสินค้าชุมชนด้านอินทรีย์ชีวภาพสำหรับใช้ในการเกษตรและครัวเรือน อาทิ หัวเชื้อจุลินทรีย์, ปุ๋ย, ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตของพืช, จุลินทรีย์บอลสำหรับบำบัดน้ำเสีย, ก้อนปุ๋ยผสมสารอาหารพืช, น้ำยาล้างจาน, น้ำยาซักผ้า, แชมพู และน้ำยาถูพื้น เป็นต้น

ในอนาคต วิสาหกิจชุมชนฯ ยังมีแผนที่จะพัฒนาสินค้าจากฐานทรัพยากรชุมชนเพิ่มเติม เช่น ปุ๋ยหมัก และสารปรับปรุงดินจากเศษไม้ในป่าที่นำมาเผาเป็นถ่านไบโอชาร์ ซึ่งมีธาตุอาหารและสารซิลิก้าสำหรับปรับสภาพและบำรุงดิน การจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนฯ จึงเป็นโอกาสสำคัญในการคิด วางแผน และสร้างผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับชุมชน เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และสร้างมูลค่าเพิ่มตามแนวทางธุรกิจชุมชนและเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะนำมาซึ่งประโยชน์เชิงเศรษฐกิจชุมชน และเพิ่มศักยภาพขององค์กรชุมชนในการดูแลรักษาป่าชุมชนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

นายเสริมพงษ์ พงษ์พิกุล เกษตรอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวแสดงความยินดีที่ได้ทราบข้อมูลการดำเนินงานของกำนันสมพงค์และชุมชนบ้านทุ่งยาว ซึ่งมีผลงานการอนุรักษ์ป่าชุมชนที่โดดเด่นและเป็นประโยชน์อย่างมากต่อชุมชนและจังหวัดเชียงใหม่ โดยสำนักงานเกษตรอำเภอดอยสะเก็ดได้ขึ้นทะเบียนวิสาหกิจชุมชนฯ ให้เรียบร้อยแล้ว และพร้อมให้การส่งเสริมสนับสนุนด้านการบริหารจัดการและการพัฒนาอื่นๆ อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่ของสำนักงานฯ ที่ให้ความสำคัญทั้งในเรื่องระบบนิเวศป่าไม้ การแก้ไขปัญหา PM 2.5 รวมถึงการพัฒนาอาชีพและรายได้ของชุมชน

ด้าน ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ GULF – CMWTE กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายในการร่วมพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) กับชุมชน โดยตลอดกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการจัดอบรมพัฒนาความรู้ด้านฐานชีวภาพและจุลินทรีย์กับระบบนิเวศป่าไม้ร่วมกับนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ และนำแนวคิด “บิซิเนสโมเดล” มาวิเคราะห์ร่วมกับชุมชนเพื่อพัฒนาต่อยอดแนวทางเสริมสร้างอาชีพและรายได้ชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ จนนำมาสู่การร่วมจัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชนอนุรักษ์ป่าต้นน้ำห้วยต้นยาง” ในครั้งนี้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากเกษตรอำเภอดอยสะเก็ด และเชื่อมั่นว่าวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อชุมชนต่อไปอย่างยั่งยืน

ออบหลวงสกัดจับกระบะขนไม้ประดู่คาด่าน! รวบ 1 ผู้ต้องหา พร้อมของกลางมูลค่าเฉียด 1.3 แสนบาท

เชียงใหม่ – เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติออบหลวงและอุทยานแห่งชาติแม่โถ (เตรียมการ) ผนึกกำลังวางแผนสกัดจับรถยนต์กระบะลักลอบขนไม้ประดู่แปรรูป มูลค่าความเสียหายของรัฐกว่า 126,980 บาท กลางดึกบนถนนสายฮอด-แม่สะเรียง รวบผู้ต้องหาได้ 1 ราย พร้อมของกลางไม้สดใหม่จำนวนมาก เตรียมส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ภายใต้การนำของ นางสาวนิภาพร ไพศาล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติออบหลวง และการสั่งการของ นายสุทัศน์ ช่วงแก้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแม่โถ (เตรียมการ) ชุดเจ้าหน้าที่สายตรวจป้องกันปราบปรามส่วนกลางประจำอุทยานแห่งชาติออบหลวง ได้สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่โถ (เตรียมการ) ออกลาดตระเวนป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้มีค่า ล่าสัตว์ป่า และลำเลียงขนไม้ ในพื้นที่รับผิดชอบของทั้งสองอุทยานฯ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายป่าไม้ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อสั่งการของ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยมี นายกริชสยาม คงสตรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ 16 อำนวยการปฏิบัติการ

ปฏิบัติการครั้งนี้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 หลังสายข่าวแจ้งว่าจะมีรถบรรทุกไม้ประดู่จากบ้านแม่หืด หมู่ที่ 13 ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ขนไม้ผ่านทางหลวงหมายเลข 108 (สายเชียงใหม่-แม่สะเรียง) มุ่งหน้าเข้าเขตอำเภอฮอด คณะเจ้าหน้าที่จึงได้แบ่งกำลังเป็น 2 ชุด ชุดแรกของอุทยานแห่งชาติแม่โถ เข้าดักซุ่มบริเวณทางเข้าบ้านแม่หืด (พิกัด 47 Q UTM 434681,2007674 WGS84) ส่วนชุดที่สองของอุทยานแห่งชาติออบหลวง ตั้งจุดสกัดที่ป้อมตำรวจออบหลวง (พิกัด 47 Q UTM 444524,2014798 WGS84)

กระทั่งเวลาประมาณ 03.30 น. ของวันที่ 21 มิถุนายน 2568 รถบรรทุกที่มีลักษณะตรงตามที่ได้รับแจ้งได้ขับออกมาจากบ้านแม่หืดผ่านจุดดักซุ่มของเจ้าหน้าที่ชุดที่ 1 แต่เนื่องจากรถขับมาด้วยความเร็วสูง ทำให้ไม่สามารถสกัดจับได้ เจ้าหน้าที่ชุดที่ 1 จึงรีบประสานงานแจ้งชุดที่ 2 ทันที

ต่อมาในเวลา 04.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดที่ 2 สังเกตเห็นรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีเทา หมายเลขทะเบียน ผน 2452 เชียงใหม่ ซึ่งมีลักษณะตรงตามที่ได้รับแจ้ง ขับผ่านเข้ามา จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ เรียกให้รถหยุด และขอทำการตรวจค้นรถยนต์กระบะคันดังกล่าว ซึ่งมีร่องรอยการเฉี่ยวชนบริเวณประตูและด้านท้ายกระบะฝั่งผู้ขับขี่ และมีผ้าเต็นท์ลายตารางสีฟ้าขาวปกคลุมอยู่ท้ายกระบะ

จากการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่พบไม้ประดู่แปรรูปจำนวนมากอยู่ใต้ผ้าคลุม ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะคันดังกล่าวทราบชื่อคือ นายคมสรรค์ สงวนนามสกุล อายุ 46 ปี บ้านเลขที่ 193 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไม่มีเอกสารใดๆ มาแสดงเพื่อกำกับไม้ประดู่ที่ขนย้ายดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนายคมสรรค์ฯ พร้อมรถยนต์กระบะและไม้ประดู่ของกลางมายังอุทยานแห่งชาติออบหลวงเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียด

ผลการตรวจสอบ พบว่าไม้ประดู่แปรรูปที่อยู่ท้ายกระบะรถมีลักษณะสดใหม่ ไม่เคยผ่านการเป็นสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งประดิษฐ์มาก่อน โดยตรวจนับได้จำนวน 24 แผ่น/เหลี่ยม มีปริมาตรรวม 1.814 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นจำนวนเงิน 126,980 บาท

เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายคมสรรค์ พุทธรักษ์ พร้อมของกลางไม้ประดู่และรถยนต์กระบะที่ใช้ในการกระทำผิด เพื่อจัดทำเรื่องราวร้องทุกข์กล่าวโทษและนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฮอด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

อุทยานแห่งชาติ ศรีลานนา รวบ 2 ผู้ต้องหา ลักลอบขนไม้ประดู่คาป่าเชียงดาว

เชียงใหม่ – เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา สนธิกำลังลาดตระเวนเชิงคุณภาพ SMART Patrol บุกจับผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมรถยนต์บรรทุกไม้ประดู่แปรรูป 8 แผ่น มูลค่าความเสียหายของรัฐกว่า 60,900 บาท คาป่าห้วยโป่ง อ.เชียงดาว หลังได้รับนโยบายปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายป่าไม้จากผู้บริหารระดับสูง

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 นายอานนท์ กุลนิล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติศรีลานนา ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (SMART Patrol) เพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำไม้มีค่า โดยเฉพาะไม้ประดู่ ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์บริเวณป่าห้วยโป่ง หมู่ที่ 4 ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อสั่งการของ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมถึงการอำนวยการของ นายกริชสยาม คงสตรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16

ขณะปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบรถยนต์คันหนึ่งกำลังขับออกมาจากเส้นทางป่าพร้อมบรรทุกไม้ จึงได้แสดงตัวและส่งสัญญาณให้หยุดเพื่อขอตรวจสอบ ภายในรถยนต์พบชาย 2 คน คือ นายประเสริฐ สงวนนามสกุล และ นายณัฐพล สงวนนามสกุล และจากการตรวจสอบท้ายกระบะรถที่ถูกปกคลุมด้วยผ้าสแลมสีดำ พบไม้ประดู่แปรรูปจำนวน 8 แผ่น/ชิ้น

จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งสองให้การว่าได้รับการว่าจ้างจากนาย (ไม่ทราบนามจริง) ให้ขับรถไปขนไม้จากบริเวณป่าห้วยโป่ง เพื่อนำไปส่งยังบ้านวังจ๊อม อำเภอเชียงดาว โดยได้รับค่าจ้างประมาณ 1,000 บาท ขณะนี้คณะเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อขยายผลและเชื่อมโยงไปยังจุดที่ทำการตัดไม้ดังกล่าว

คณะเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาแล้วว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทั้งสองทราบ พร้อมร่วมกันตรวจยึดของกลางคือไม้ประดู่แปรรูปจำนวน 8 แผ่น/ชิ้น คิดเป็นปริมาตรรวม 0.87 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งประเมินเป็นค่าเสียหายของรัฐได้ถึง 60,900 บาท (ไม้ประดู่แปรรูปอยู่ในลำดับที่ 87 ตามบัญชีไม้ของกลาง) รวมถึงได้ตรวจยึดรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิดด้วย

ภายหลังการตรวจยึดและสอบปากคำ คณะเจ้าหน้าที่ได้จัดทำเรื่องราวร้องทุกข์กล่าวโทษ นำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รมว.ยธ. ส่งเลขาฯ ป.ป.ส. บินด่วนเมียนมา ล่า “เสี่ยม้าบิน” ขยายผลยึดทรัพย์ขบวนการค้ายาหมื่นล้านบาท

เชียงราย, 18 มิถุนายน 2568 – พล.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. นำคณะเดินทางเยือนเมียนมาในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการติดตามจับกุมและขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ “นายธัชพล หรือ อาฉ่าง หรือ เสี่ยม้าบิน” ผู้สั่งการจากฝั่งเมียนมา ซึ่งมีทรัพย์สินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมเผยผลปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ครั้งที่ 4 ยึดอายัดทรัพย์สินเครือข่ายในไทยไปแล้วกว่า 15.1 ล้านบาท และเตรียมตรวจสอบเส้นทางการเงินต้องสงสัยอีก 97 ล้านบาท

เมื่อวันพุธที่ 18 มิถุนายน 2568 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และคณะเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ครั้งที่ 4 ณ จังหวัดเชียงราย โดยเป็นการดำเนินการต่อทรัพย์สินของผู้ต้องหาตามหมายจับและเครือญาติรวม 8 คน ในพื้นที่ 3 จุด ผลการปฏิบัติการไม่พบบุคคลตามหมายจับ แต่สามารถตรวจยึดและอายัดทรัพย์สิน อาทิ บ้านพร้อมที่ดิน 2 หลัง, ที่ดินเปล่า 2 แปลง, รถยนต์ 1 คัน และนาฬิกาหรู 1 เรือน รวมมูลค่ากว่า 15.1 ล้านบาท

นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. เตรียมออกหนังสือเชิญบุคคลที่มีเส้นทางการเงินต้องสงสัย 12 คน เข้ามาชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมการเงิน หากไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินดังกล่าวได้ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น ประมาณการทรัพย์สินของบุคคลในเครือข่ายการเงินต้องสงสัยรวมมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า ปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จับกุมผู้ต้องหา 8 คน พร้อมของกลางยาบ้ากว่า 3 ล้านเม็ด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยยาเสพติดดังกล่าวเป็นของ นายธัชพล หรือ อาฉ่าง หรือ เสี่ยม้าบิน ซึ่งเป็นผู้สั่งการให้บุคคลในเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากเมืองท่าขี้เหล็ก สหภาพเมียนมา เข้ามายังพื้นที่ชายแดนไทยด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ก่อนส่งต่อไปยังพื้นที่ตอนในของไทยเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ หรือส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

คณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้บันทึกความเข้าใจความร่วมมือ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงาน ป.ป.ส., สำนักงานอัยการสูงสุด, กองบัญชาการกองทัพไทย (ศูนย์รักษาความปลอดภัย), กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด) ได้ร่วมกันบูรณาการความร่วมมือ จนกระทั่งรวบรวมพยานหลักฐานและขอศาลอนุมัติหมายจับนายธัชพล ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงราย ที่ 335/2568 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ในข้อหา “ร่วมกันนำเข้าในราชอาณาจักร, ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า), สมคบกันกระทำความผิด”

นายธัชพลฯ มีบทบาทเป็นผู้จัดหายาเสพติด (ยาบ้า, ไอซ์) โดยมีศักยภาพในการเข้าถึงกลุ่มผู้ผลิตในเมียนมา รวมถึงจัดหาทีมลำเลียงยาเสพติดจากเมียนมาลักลอบนำเข้าพื้นที่ชายแดนไทยด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย และส่งต่อให้กับเครือข่ายลำเลียงเข้าพื้นที่ตอนในของไทยเพื่อจำหน่าย หรือส่งต่อไปยังประเทศที่สาม นอกจากนี้ นายธัชพลฯ ยังเป็นผู้มีอิทธิพลในฝั่งเมียนมา คอยอำนวยความสะดวกจัดหาที่พักอาศัยและดูแลความปลอดภัยให้กับเครือข่ายยาเสพติดและกลุ่มคนไทยที่หลบหนีหมายจับคดียาเสพติด ปัจจุบัน นายธัชพลฯ พักอาศัยอยู่ที่เมียนมา มีกิจการในเมืองท่าขี้เหล็ก และเมืองเชียงตุง อาทิ ร้านทอง, รับเหมาก่อสร้าง, อินเทอร์เน็ต, สถานบันเทิง (คาราโอเกะ, ผับ), โรงแรม, ขนส่ง, และจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งประเมินมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1,000 ล้านบาท

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมา ด้านการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งในปัจจุบันปัญหาการค้ายาเสพติดในลักษณะเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค การบูรณาการทางการข่าวระหว่างหน่วยงานภายในประเทศและหน่วยงานระหว่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง การประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกันอย่างใกล้ชิด จะนำมาซึ่งผลสัมฤทธิ์ในการสืบสวนขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เห็นผลได้อย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับเครือข่ายที่ปฏิบัติการในวันนี้ ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ บุคคลเป้าหมายหลักที่ถูกออกหมายจับมีพฤติการณ์ในระดับผู้สั่งการ มีศักยภาพในการจัดหายาเสพติดไปกระจายในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งนำเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดมาแปลงเป็นทรัพย์สิน และลงทุนในธุรกิจต่างๆ ทั้งในไทยและเมียนมา ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท

“ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ผมได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมคณะ จะเดินทางไปเมียนมา เพื่อพบกับ พล.ต.ท.วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจเมียนมาและเลขาธิการ CCDAC และ พล.ต.จัตวา ต่าน ลวิน หม่อง เลขาธิการร่วมสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (CCDAC) เพื่อหารือเกี่ยวกับเครือข่ายดังกล่าว โดยจะขอความร่วมมือให้ทางเมียนมาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลตามหมายจับ และยึดอายัดทรัพย์สินในเมียนมาต่อไป” พ.ต.อ.ทวี กล่าวทิ้งท้าย

สำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานภาคี ได้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติดในทุกระดับการค้า ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นให้จับกุมกวาดล้างยาเสพติด ตัดวงจรการค้ายาเสพติดรายสำคัญให้ถึงระดับผู้สั่งการ โดยเฉพาะผู้สั่งการที่มีศักยภาพในการจัดหายาเสพติดจากต้นทางประเทศเพื่อนบ้าน และใช้เครือข่ายผู้ลำเลียงชาวไทย ตลอดจนใช้บุคคลชาวไทยถือครองทรัพย์สินแทน ยิ่งต้องเร่งดำเนินการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด

ตั้งแต่กลางปี 2567 จนถึงปัจจุบัน สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี เปิดปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” รวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง:

  • ครั้งที่ 1: จับกุมบุคคลตามหมายจับ 4 คน, ตรวจยึดทรัพย์สิน 66 ล้านบาท
  • ครั้งที่ 2: จับกุมบุคคลตามหมายจับ 3 คน, ตรวจยึดทรัพย์สิน 101 ล้านบาท
  • ครั้งที่ 3: จับกุมบุคคลตามหมายจับ 1 คน, ตรวจยึดทรัพย์สิน 80 ล้านบาท
  • ครั้งที่ 4 (ครั้งนี้): ยึดอายัดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 15.1 ล้านบาท และตรวจสอบทรัพย์สินของเครือข่ายธุรกรรมการเงินต้องสงสัยมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท

“รองนายกฯ ประเสริฐ” กำชับรับมือวิกฤตน้ำท่วมภาคเหนือ ย้ำต้องไม่มีผู้เสียชีวิต เร่งขุดลอกแม่น้ำปิงก่อนกำหนด

“รอง นรม.ประเสริฐ” ติดตามการเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วม ย้ำการรับมือปีนี้ขอให้มีความสมบูรณ์ใช้น้ำท่วมใหญ่ปีที่แล้วเป็นบทเรียน ต้องไม่มีเสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วม ประชาสัมพันธ์ข้อมูลน้ำท่วมให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง จี้หน่วยงานเร่งขุดลอกแม่น้ำปิงให้เสร็จก่อนแผนที่วางไว้ ปีที่แล้วน้ำท่วมใหญ่ช่วงกันยายน ขอให้ทุกจังหวัดเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ในทุกๆ ด้าน

ว้นที่ 16 มิ.ย. 2568 ที่ห้องประชุมน้ำอัจฉริยะ สำนักงานชลประทานที่ 1 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย หน่วยงานชลประทาน สนทช. เพื่อติดตามการความก้าวหน้าการแก้ปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง และการป้องกันและแก้ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย และ จ.ลำพูน

ทั้งนี้ในส่วนของการเตรียมการรับมืออุทกภัยในพื้ันที่ทั้ง จ.เชียงใหม่ เชียงราย และ จ.ลำพูน มีผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัดได้รายงานการเตรียมความพร้อมซึ่งใช้บทเรียนจากอุทกภัยในปี 2567 เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมรับมือ โดยเน้นไปที่การขุดลอกลำน้ำทั้งแม่น้ำปิง แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำกก ซึ่งรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโดยผู้แทนจากหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะเร่งดำเนินการในแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2568 นี้

หลังจากรับฟังการรายงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นการเตรียมการรับมือปัญหาอุทกภัยในพื้นที่เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้มอบนโยบายเป็นข้อสั่งการในที่ประชุม ว่า เรื่องแรกให้จังหวัดทั้่ง 3 จังหวัดได้เตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้านสำหรับการรับมือฤดูฝนปี 2568 โดยบูรณาการมาตรการรับมือฝนร่วมกับแผนป้องกันและแผนแก้ไขภาวะน้ำท่วมร่วมกับแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนให้น้อยที่สุด

“เข้าใจว่าแผนมีอยู่แล้ว ทั้ง แผนของ ปภ. แผนของ สทนช. ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าใจว่าทราบดีแล้วทุกหน่วยงาน พร้อมปฏิบัติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานชลประทาน หรือว่าหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ขอให้บูรณาการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ให้มีประสิทธิภาพ” นายประเสริฐฯ กล่าว

รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวต่อว่า เรื่องที่ 2 ขอให้ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ชลประทาน กรมการทหารช่าง เร่งทำการขุดลอก แม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำปิง รวมถึงการก่อสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวของแม่น้ำสาย หากว่าการดำเนินการขุดลอกไม่แล้วเสร็จตามแผน ให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน เตรียมเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ ให้พร้อมในการรองรับสถานการณ์น้ำท่วม น้ำหลากในหลายพื้นที่ คือว่า ระหว่างการดำเนินการขุดลอกอาจมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ ก็ขอให้ทุกจังหวัดมีความพร้อมในการจะรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งจากที่ได้รับรายงานการขุดลอกจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนที่จะถึงนี้ ก็อยากให้เร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนแผนที่วางไว้จะเป็นการดีอย่างยิ่ง เพราะอุทกภัยปีที่แล้วมาในช่วงเดือนกันยายนต่อเดือนตุลาคม

เรื่องที่สาม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการข้อมูลเพื่อการประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เรามีระบบเตือนภัย มีระบบที่ทางราชการสื่อสารไปยังพี่น้องประชาชนให้สื่อสารถึงแนวทางในการป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าให้มีการเสียชีวิตโดยปัญหาอุทกภัยหรือเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

“ฝากไว้ว่าการรับมือสถานการณ์อุทกภัยปีนี้ขอให้มีความสมบูรณ์ เพราะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วได้เห็นมาแล้ว ประสบมาแล้ว ปีนี้มีการนำเงินงบประมาณมาแก้ไข เชียงใหม่ก็กำลังดำเนินการอยู่ เชียงรายมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องคุณภาพน้ำ และดินโคลนที่แม่สาย ซึ่งก็ดำเนินการไปเยอะแล้ว ส่วนที่ลำพูนเป็นผลกระทบจากน้ำทางตอนเหนือที่ไหลรวมกันลงไปยังพื้นที่ จ.ลำพูน ฝากทั้ง สทนช. และ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถึงโครงการต่างๆ ที่ขอรับการสนับสนุนมาเพื่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ในส่วนที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการ ซึ่งหากรับการสนับสนุนได้เร็วก็จะเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่ประสบภัยได้” นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าว

ตำรวจ ปทส. บุกจับลานทรายเถื่อนกลางเชียงใหม่ พบลักลอบกำจัดขยะ สร้างมลพิษรบกวนชาวบ้าน

ตำรวจ ปทส. บุกทลายลานทรายเถื่อนกลางเมืองเชียงใหม่ พบซุกซ่อนการลักลอบกำจัดขยะ สร้างมลพิษกระทบชาวบ้าน สั่งดำเนินคดีผู้ประกอบการและคนงานรวม 7 ราย

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) สนธิกำลังเข้าตรวจค้นและจับกุมลานจำหน่ายหินทราย 2 แห่ง บริเวณแยกกองทราย ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่าได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากปัญหามลภาวะทางเสียง ฝุ่นละออง และพฤติกรรมการขับขี่รถบรรทุกที่ขาดความปลอดภัย จากการตรวจสอบพบว่าสถานประกอบการทั้งสองแห่งไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซ้ำยังมีการลักลอบรับกำจัดขยะ ซึ่งสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่อย่างมาก

การเข้าจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการ ปทส. ที่สั่งการให้ ว่าที่ พ.ต.ต.จิรายุ อิ่นแก้ว สารวัตรกองกำกับการ 4 บก.ปทส. นำกำลังเจ้าหน้าที่ บก.ปทส. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปพ.สส.ภ.5, ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สารภี และผู้อำนวยการกองสาธารณสุข เทศบาลตำบลหนองผึ้ง เข้าดำเนินการตามหมายศาล

จากการตรวจค้นสถานประกอบการแห่งแรก พบหญิงอายุ 52 ปี รับเป็นเจ้าของกิจการ ภายในบริเวณพบอาคารโรงเรือน ลานกองหิน ดิน ทราย และเศษซากสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก รวมถึงกองขยะที่ถูกฝังกลบหลายจุด พร้อมรถตัก รถแบคโฮ และรถบรรทุกหลายคัน กำลังมีคนงานทำงานอยู่ ซึ่งรวมถึงแรงงานต่างด้าว จากการสอบสวนเพิ่มเติม เจ้าของกิจการยอมรับว่าไม่มีใบอนุญาตตั้งและประกอบกิจการโรงงาน ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่มีใบอนุญาตเก็บ ขน หรือกำจัดขยะมูลฝอย นอกจากนี้ยังพบว่ามีการจ้างแรงงานต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต

ในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่อีกชุดได้เข้าตรวจค้นสถานประกอบการอีกแห่งหนึ่งในบริเวณเดียวกัน พบหญิงอายุ 36 ปี รับเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งก็ยอมรับว่าไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการประเภทใดๆ ตามที่กฎหมายกำหนด เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่เจ้าของกิจการทั้งสองแห่ง และคนงานรวม 7 ราย ในข้อหาหลัก ได้แก่ ร่วมกันตั้งและประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่สามโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ, ประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต, ดำเนินกิจการรับเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยโดยไม่ได้รับอนุญาต และรับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้ทำงานนอกเหนือสิทธิ พร้อมยึดรถตักล้อยาง 2 คัน และรถแบคโฮ 3 คัน ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.สารภี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

ถอดบทเรียนไฟป่า 17 จังหวัดภาคเหนือ: สถานการณ์ดีขึ้นจากความร่วมมือ ภาค 3 เตรียมยกระดับความปลอดภัย

ชียงใหม่, 5 มิถุนายน 2568 – ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อ “ถอดบทเรียน” (After Action Review – AAR) หลังสิ้นสุดฤดูกาลไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ การประชุมที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อบจ.เชียงใหม่ โดยมีพลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานนี้ มีเป้าหมายสำคัญเพื่อรวบรวมข้อมูลและประสบการณ์จากการปฏิบัติงานจริงของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผลจากการบูรณาการแผนงานและทรัพยากรจากทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่ ทำให้สถานการณ์โดยรวมในปีนี้ ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยพบว่า:

  • จุดความร้อนลดลง ร้อยละ 28.61
  • คุณภาพอากาศดีขึ้น ร้อยละ 18.58
  • จำนวนวันที่ค่าฝุ่นละอองเกินเกณฑ์มาตรฐานลดลง ร้อยละ 7.64

นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการฯ ยังได้สำรวจความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของชุดรณรงค์สร้างการรับรู้ ลาดตระเวน และดับไฟป่า จากหน่วยงานบูรณาการร่วมและประชาชนในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จำนวน 2,171 คน ซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง:

  • ด้านกระบวนการปฏิบัติงาน: ร้อยละ 95.07
  • ด้านเจ้าหน้าที่ / กำลังพล: ร้อยละ 96.05
  • ความเหมาะสมต่อการปฏิบัติงาน: ร้อยละ 95.39
  • ความพึงพอใจโดยรวม: ร้อยละ 95.95

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลการดำเนินงานจะน่าพึงพอใจ แต่ในปีนี้ยังมี เจ้าหน้าที่บางรายได้รับอันตรายขณะปฏิบัติงานดับไฟป่า ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า จะนำบทเรียนที่ได้ไป พัฒนามาตรการความปลอดภัยให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และเตรียมความพร้อมรับมือฤดูไฟป่าครั้งต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

กองกำลังผาเมืองรวบยาบ้า 2 ล้านเม็ด! ตอกย้ำภารกิจ SEAL STOP SAFE ปิดตายชายแดนสกัดนักค้ายา

กองกำลังผาเมืองโชว์ผลงานสำคัญในการสกัดกั้นยาเสพติดครั้งใหญ่ ยึดยาบ้าล็อตมหึมากว่า 2 ล้านเม็ดในพื้นที่ชายแดนเชียงราย ตอกย้ำความมุ่งมั่นตามนโยบาย “SEAL STOP SAFE” ของรัฐบาลที่เน้นการปิดผนึกชายแดน หยุดยั้งการแพร่ระบาด และรักษาผู้ติดยาเสพติดให้กลับคืนสู่สังคม การปฏิบัติการครั้งนี้สะท้อนถึงความเข้มแข็งและประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ในการปกป้องประเทศจากภัยยาเสพติด

เชียงราย – กองกำลังผาเมือง โดยกองร้อยทหารพรานที่ 3106 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 31 ภายใต้การนำของกองกำลังผาเมือง สามารถสกัดกั้นขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดครั้งสำคัญ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา หลังได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการเคลื่อนย้ายยาเสพติดจากอำเภอแม่ฟ้าหลวง เพื่อนำไปพักคอยในพื้นที่ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย โดยใช้เส้นทางผ่านอำเภอแม่จัน

ชุดปฏิบัติการ 2 ชุดได้เข้าตั้งจุดตรวจและจุดสกัดกั้นบริเวณเส้นทางบ้านกิ่วสะไต ตำบลป่าตึง ถึงบ้านอาดี่ ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย และเส้นทางจากอำเภอแม่ฟ้าหลวง ถึงบ้านเล่าฟู่ ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่สังเกตเห็นรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยวิ่งเข้าออกในพื้นที่สวนบริเวณบ้านกิ่วสะไต ก่อนถึงทางแยกเข้าบ้านอาดี่

เวลาประมาณ 20.50 น. เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมาย และพบถุงดำจำนวนมากกองรวมกันอยู่ในป่ากล้วย ภายในบรรจุกระสอบฟางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 10 กระสอบ แต่ละกระสอบมียาบ้าประมาณ 200,000 เม็ด รวมทั้งสิ้น 2,000,000 เม็ด

เช้าวันที่ 4 มิถุนายน 2568 พลตรี กิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ได้มอบหมายให้ พันเอก ไมตรี ศรีสันเทียะ เสนาธิการกองกำลังผาเมือง เป็นผู้แทนลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบของกลาง และนำยาเสพติดทั้งหมดส่งมอบให้สถานีตำรวจภูธรแม่จัน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สรุปผลงานปราบปรามยาเสพติด กองกำลังผาเมือง: มุ่งมั่นปกป้องชายแดน

ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน กองกำลังผาเมืองได้แสดงผลงานการปราบปรามยาเสพติดที่โดดเด่น ด้วยการสกัดกั้นยาเสพติดรวม 283 ครั้ง จับกุมผู้ต้องหาได้ 299 คน ตรวจยึดยาบ้าได้มากถึง 112,450,860 เม็ด เฮโรอีน 145 กิโลกรัม ไอซ์ 8,062 กิโลกรัม ฝิ่น 22.1 กิโลกรัม และเคตามีน 695 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังมีการปะทะกับขบวนการค้ายาถึง 39 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตในกลุ่มขบวนการ 15 ศพ

มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่สามารถยับยั้งได้จากการตรวจยึดยาเสพติดทั้งหมดนี้ หากเล็ดลอดเข้าสู่กรุงเทพมหานคร จะสูงถึง 25,771 ล้านบาท ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของภารกิจ “พิทักษ์อาณารักษาชายแดน” ของกองกำลังผาเมืองในการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศชาติอย่างแท้จริง

ตำรวจ ปทส. เปิดปฏิบัติการไล่ล่าขบวนการค้าไม้เถื่อนข้ามจังหวัด ยึดไม้ประดู่แปรรูปจำนวนมาก

ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เปิดปฏิบัติการระทึก ไล่ล่ารถกระบะดัดแปลงบรรทุกไม้เถื่อนจากอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ข้ามไปจนมุมที่อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน รวบผู้ต้องหาได้ 2 ราย ก่อนจะขยายผลตรวจค้นโกดังในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ยึดไม้ประดู่แปรรูปจำนวนมาก พร้อมเครื่องมือที่ใช้ในการหลบเลี่ยงการจับกุม

พ.ต.อ.ณัทกฤช น้อยคำปัน ผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผกก.4 บก.ปทส.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.จิรายุ อิ่นแก้ว สารวัตรกองกำกับการ 4 บก.ปทส. สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจออกลาดตระเวนบนทางหลวงหมายเลข 108 บริเวณหน้าวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากได้รับรายงานจากสายข่าวว่ามีการลำเลียงสิ่งผิดกฎหมายผ่านเส้นทางดังกล่าว

เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ ติดตั้งตู้ทึบ ซึ่งเป็นรถต้องสงสัยตามที่ได้รับแจ้ง ขับสวนทางมุ่งหน้าไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่จึงขับรถสะกดรอยตาม แต่คนขับรถไหวตัวทันและเร่งเครื่องหลบหนี มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ การไล่ล่าดำเนินไปอย่างระทึก เมื่อมาถึงสี่แยกแม่ขาน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ คนร้ายได้ขับรถฝ่าไฟแดงและหักเลี้ยวขวาอย่างกะทันหัน มุ่งหน้าไปบนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 (ลำพูน-ป่าซาง)

จนกระทั่งรถของคนร้ายมาถึงบริเวณบ้านสบทา ตำบลปากบ่อง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจเร่งความเร็วรถขับแซงและปาดหน้ารถคันดังกล่าว จนรถหยุดนิ่งสนิท พบชายเป็นคนขับคือนายณัฐ (นามสมมุติ) อายุ 51 ปี ชาวอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน และมีนางจอย (นามสมมุติ) อายุ 45 ปี ชาวอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ นั่งมาด้วยกัน จากการตรวจค้นหลังรถ พบไม้ประดู่แปรรูปขนาดใหม่จำนวน 6 แผ่น ซึ่งไม่มีเอกสารการครอบครองไม้ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรป่าซาง

จากการสอบปากคำ ทั้งสองให้การว่ายังมีไม้แปรรูปซุกซ่อนอยู่ที่โกดังแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวนมาก ต่อมา พ.ต.ต.จิรายุ อิ่นแก้ว พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 บก.ปทส., เจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน, เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33, เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรหางดง และเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและรักษาป่าที่ ชม.13 ได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นโกดังแห่งหนึ่งบริเวณถนนเลียบคลองชลประทาน บ้านสันทราย ตำบลหนองแก๋ว อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งหัตถกรรมชื่อดังบ้านถวาย

ผลการตรวจค้น พบไม้ประดู่แปรรูปขนาดใหญ่รวม 87 แผ่น ซุกซ่อนอยู่ภายในโกดัง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้พบเครื่องตรวจจับโลหะ ซึ่งระบุว่าขบวนการค้าไม้เถื่อนจะใช้เครื่องมือดังกล่าวในการตรวจจับอุปกรณ์ GPS ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตั้งไว้กับไม้ที่ถูกตัดทิ้งในป่า เพื่อป้องกันการติดตามก่อนที่จะขนไม้ออกจากป่า

เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาในข้อหา “มีไม้หวงห้ามแปรรูปชนิดอื่นเป็นจำนวนเกิน 0.20 ลูกบาศก์เมตรไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “ร่วมกันรับไว้ด้วยประการใดซ่อนเร้น หรือช่วยพาเอาไปเสียให้พ้นซึ่งไม้ที่ตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้หรือของป่าที่มีผู้ได้มาโดยกระทำผิดต่อบทบัญญัติพระราชบัญญัติป่าไม้”

พายุพัดถล่มดอยเต่า! กุฏิเสียหาย 3 หลัง วัดฉิมพลีวุฒาราม วอนสำนักพุทธฯ เร่งซ่อมแซม

อ.ดอยเต่า เชียงใหม่ เร่งสำรวจความเสียหายหลังเกิดพายุลมแรงพัดถล่มวัดฉิมพลีวุฒาราม ทำให้กุฏิสงฆ์เสียหาย 3 หลัง สำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่เตรียมเสนอแผนซ่อมแซม ขณะที่หน่วยงานในพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือเบื้องต้

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. เกิดเหตุพายุลมแรงพัดถล่มในพื้นที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้วัดฉิมพลีวุฒาราม บ้านแปลง 4 ตำบลมืดกา ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

นายเพิ่มศักดิ์ ศรีสวัสดิ์ นายอำเภอดอยเต่า ได้มอบหมายให้ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ปกครอง และสมาชิก อส. ร้อย.อส.อ.ดอยเต่า 18 ลงพื้นที่ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ และผู้ใหญ่บ้านบ้านแปลง 4 เพื่อเข้าตรวจสอบความเสียหายของที่พักสงฆ์ภายในวัด

จากการตรวจสอบพบว่า กุฏิสงฆ์จำนวน 3 หลังได้รับความเสียหายจากวาตภัย มีกิ่งไม้ขนาดใหญ่หักโค่นลงมาทับสร้างความเสียหายแก่โครงสร้างหลังคา และกระเบื้องมุงหลังคาแตกกระจาย

เบื้องต้นสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่เตรียมเร่งเสนอแผนงานและโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการซ่อมแซมกุฏิให้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุด ระหว่างนี้หน่วยงานในระดับพื้นที่ได้เข้าให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นการชั่วคราวแล้ว