เชียงใหม่รีพอร์ต » ปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ครั้งที่ 1 บูรณาการร่วมผนึกกำลังขยายผลตรวจค้น จับกุม ยึดทรัพย์สิน เครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน อายัดทรัพย์สินรวม 66,102,000 บาท

ปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ครั้งที่ 1 บูรณาการร่วมผนึกกำลังขยายผลตรวจค้น จับกุม ยึดทรัพย์สิน เครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน อายัดทรัพย์สินรวม 66,102,000 บาท

31 สิงหาคม 2024
520   0

Spread the love

ปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ครั้งที่ 1 บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผนึกกำลังขยายผลตรวจค้น จับกุม ยึดทรัพย์สิน เครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน อายัดทรัพย์สินรวม 66,102,000 บาท

การบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ป.ป.ส. ทหาร ตำรวจ พลเรือน และสำนักงานอัยการสูงสุด ผนึกกำลังขยายผลตรวจค้น จับกุม ยึดทรัพย์สิน เพื่อทำลายกลุ่มเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2567เวลา 15.00 น. ณ สภ.ฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รมว.ยธ., นายนิยม เติมศรีสุข ที่ปรึกษา รมว.ยธ., พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส., นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. และหน่วยงานความมั่นคง ประกอบด้วย พล.ต.ท. คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต. ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต. ชายแดน กฤษณสุวรรณ ผบ.พล.ร.๗/รอง ผบ.นบ.ยส.35, พล.ต.ต. ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ชม., พ.อ. ไมตรี ศรีสันเทียะ เสนาธิการ กกล.ผาเมือง, นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รอง ผวจ.เชียงใหม่, นายธนาธิป นวรัตนวรกุล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด, นายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สปป., นายธันวา ผุดผ่อง ผชช.ปปส.ภ.5 และเจ้าหน้าที่ หน่วยต่าง ๆ สนธิกำลังกว่า 150 นาย ปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ครั้งที่ 1 เพื่อทลายเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน

สืบเนื่องจากคณะรัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด (ครส.) โดยมี พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน เพื่อติดตามและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้พื้นที่ 25จังหวัด เป็นพื้นที่เร่งด่วนที่จักต้องแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 90 วัน ภายใต้แผน “ปฏิบัติการเร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ระยะเร่งด่วน 3 เดือน” (1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2567) โดยมุ่งเน้นดำเนินการแก้ไขปัญหาทั้งด้านการป้องกัน ปราบปราม และการบำบัดยาเสพติด ในจังหวัดนำร่อง 25 จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการปราบปรามที่ต้องการลดบทบาทหรือทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญที่เชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ลักลอบนำเข้ายาเสพติดผ่านเข้ามทางภาคเหนือตอนบนของไทย

ต่อมาวันที่ 12กรกฎาคม 2567 เลขาธิการ ป.ป.ส. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการติดตามเร่งรัด การบำบัดรักษา ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ศปก.ครส.) ได้จัดตั้งคณะทำงานสืบสวน เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ พื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน ตามคำสั่งสำนักงาน ป.ป.ส. ที่ 647/2 คณะทำงานฯ ได้ประชุมวิเคราะห์ข่าวสารและแสวงหาพยานหลักฐาน กลุ่มเครือข่ายฯ ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือที่น่าสนใจ กระทั่งได้ตกลงร่วมกันว่าจะดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีต่อ พ.อ.จะลอโบ ไม่ทราบนามสกุล อดีตรองผู้บัญชาการกองบัญชาการควบคุมทางทหาร 171 กกล.ว้าใต้ (UWSA) และ นายวีระ หมื่นจะดา ซึ่งบุคคลทั้งสองเป็นนักค้ายาเสพติดรายสำคัญที่มีพฤติการณ์ในการร่วมกันจัดหายาเสพติดจากพื้นที่รัฐฉาน สหภาพเมียนมา ส่งเข้ามาจำหน่ายทางภาคเหนือของประเทศไทยผ่านพื้นที่อิทธิพลของตน มาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยพบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงใกล้ชิดกับคดีการจับกุม นายพิริยะ สุนันติ กับพวกรวม 2 คน พร้อมของกลาง ไอซ์ 309 กก. เฮโรอีน 230 กก. เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 เหตุเกิดที่ สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่

จากการสืบสวนขยายผล พบพฤติการณ์บุคคลทั้งสองเกี่ยวข้องในคดีที่ได้จากการซัดทอดของผู้ต้องหาในคดีข้างต้น และจากประจักษ์พยาน กล่าวคือ ในห้วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 พ.อ.จะลอโบ, นายวีระ หมื่นจะดา และพวก ได้ร่วมกันวางแผนลักลอบนำยาเสพติด ตามจำนวนข้างต้น เข้ามาส่งให้กับกลุ่มผู้ลำเลียงชาวไทยที่บริเวณดอยผ้าห่มปก ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ พร้อมว่าจ้างกลุ่มผู้ประสานงานจากพื้นที่เมืองต่วน จำนวน 3 คน และส่งมอบเครื่องมือสื่อสาร เพื่อให้เข้ามาประสานการส่งมอบยาเสพติดแก่กลุ่มผู้ลำเลียงในฝั่งไทย จนกระทั่งวันที่ 2 มีนาคม 2567 ได้มีการส่งมอบยาเสพติดจนสำเร็จตามนัดหมาย ก่อนจะถูก สภ.ฝาง จับกุมในวันที่ 5 มีนาคม 2567 ดังกล่าว คณะทำงานฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐานจากพฤติการณ์การกระทำผิดข้างต้น ของ พ.อ. จะลอโบฯ และ นายวีระฯ เพื่อขอให้ศาลจังหวัดฝางพิจารณาอนุมัติหมายจับ และศาลได้อนุมัติหมายจับ พ.อ.จะลอโบ เลขที่ จ.106/2567 ลว.20 สค.67 และ นายวีระฯ เลขที่ จ.107/2567 ลว. 20 ส.ค.67

และวันที่ 31 สิงหาคม 2567 หน่วยบูรณาการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ได้สนธิกำลังกว่า 150 นาย เพื่อปฏิบัติการตามแผนปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ครั้งที่ 1 โดยได้กำหนดเป้าหมายเพื่อติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับในเครือข่าย พ.อ. จะลอโบ รวมจำนวน 11 หมายจับ พร้อมยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งชุดปฏิบัติการได้เข้าปิดล้อมตรวจค้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ในพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย อ.แม่ลาว จ.เชียงราย, อ.เมืองเชียงใหม่ อ.ฝาง อ.แม่อาย อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ รวมทั้งสิ้น จำนวน 13 จุด
ผลการปฏิบัติการ จับกุมบุคคลตามหมายจับได้ จำนวน 4 ราย, ยึด/อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนี้
– อสังหาริมทรัพย์ จำนวน 20 แปลง มูลค่าประมาณ 61,450,000 บาท
– บัญชีเงินฝาก จำนวน 16 บัญชี มูลค่าประมาณ 472,000 บาท
– ยานพาหนะ จำนวน 6 คัน มูลค่าประมาณ 3,000,000 บาท
– เงินสด มูลค่าประมาณ 210,000 บาท
– ทองรูปพรรณ จำนวน 7 รายการ มูลค่าประมาณ 570,000 บาท
– ทรัพย์สินอื่นๆ จำนวน 10 รายการ มูลค่าประมาณ 400,000 บาท มูลค่ารวม 66,102,000 บาท

ในการปฏิบัติการครั้งนี้ถือว่าเป็นความร่วมมือของหน่วยราชการทุกภาคส่วนและภาคประชาชน โดยมุ่งเป้าหมายเพื่อลดบทบาทการค้ายาเสพติดและลดอิทธิพลของกลุ่มบุคคลหรือ กกล.ชาติพันธ์ต่างๆตามแนวชายแดน ไทย – สหภาพเมียนมา ซึ่งจะส่งผลดีในการลดการนำเข้ายาเสพติด ลดอาชญากรรม และลดบทบาทผู้มีอิทธิพล ตามแนวชายแดน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในจัดระเบียบตามแนวชายแดน ทำให้การแก้ปัญหาด้านอุปทาน (Supply) ยาเสพติด ตามนโยบายของรัฐบาลประสบผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ทุกหน่วยงาน ผนึกกำลังและยึดเป้าหมายสูงสุดร่วมกัน นั่นคือการลดความเดือดร้อนของประชาชน และบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพ การปฎิบัติการ “ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม” ครั้งนี้ เป็นการให้ความสำคัญต่อการดำเนินการทางกฎหมายกับหัวหน้ากลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ และเครือญาติหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีบทบาทในการผลิต การค้า การลำเลียงยาเสพติด โดยมีการดำเนินการภายใต้ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. จักดำเนินการลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ผู้ค้ายาเสพติดจะต้องได้รับการลงโทษและถูกยึดทรัพย์สิน อย่างจริงจัง เพื่อเป็นการลดทอนศักยภาพในการผลิตและตัดวงจรการค้ายาเสพติดอย่างถาวร นำไปสู่การลดปัญหาการค้าและการแพร่ระบาดยาเสพติดในภาพรวมของประเทศไทยลงได้.