เชียงใหม่รีพอร์ต » รมว.ยธ. ส่งเลขาฯ ป.ป.ส. บินด่วนเมียนมา ล่า “เสี่ยม้าบิน” ขยายผลยึดทรัพย์ขบวนการค้ายาหมื่นล้านบาท

รมว.ยธ. ส่งเลขาฯ ป.ป.ส. บินด่วนเมียนมา ล่า “เสี่ยม้าบิน” ขยายผลยึดทรัพย์ขบวนการค้ายาหมื่นล้านบาท

18 มิถุนายน 2025
133   0

Spread the love

เชียงราย, 18 มิถุนายน 2568 – พล.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. นำคณะเดินทางเยือนเมียนมาในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการติดตามจับกุมและขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ “นายธัชพล หรือ อาฉ่าง หรือ เสี่ยม้าบิน” ผู้สั่งการจากฝั่งเมียนมา ซึ่งมีทรัพย์สินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมเผยผลปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ครั้งที่ 4 ยึดอายัดทรัพย์สินเครือข่ายในไทยไปแล้วกว่า 15.1 ล้านบาท และเตรียมตรวจสอบเส้นทางการเงินต้องสงสัยอีก 97 ล้านบาท

เมื่อวันพุธที่ 18 มิถุนายน 2568 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และคณะเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ครั้งที่ 4 ณ จังหวัดเชียงราย โดยเป็นการดำเนินการต่อทรัพย์สินของผู้ต้องหาตามหมายจับและเครือญาติรวม 8 คน ในพื้นที่ 3 จุด ผลการปฏิบัติการไม่พบบุคคลตามหมายจับ แต่สามารถตรวจยึดและอายัดทรัพย์สิน อาทิ บ้านพร้อมที่ดิน 2 หลัง, ที่ดินเปล่า 2 แปลง, รถยนต์ 1 คัน และนาฬิกาหรู 1 เรือน รวมมูลค่ากว่า 15.1 ล้านบาท

นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. เตรียมออกหนังสือเชิญบุคคลที่มีเส้นทางการเงินต้องสงสัย 12 คน เข้ามาชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมการเงิน หากไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินดังกล่าวได้ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น ประมาณการทรัพย์สินของบุคคลในเครือข่ายการเงินต้องสงสัยรวมมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า ปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จับกุมผู้ต้องหา 8 คน พร้อมของกลางยาบ้ากว่า 3 ล้านเม็ด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยยาเสพติดดังกล่าวเป็นของ นายธัชพล หรือ อาฉ่าง หรือ เสี่ยม้าบิน ซึ่งเป็นผู้สั่งการให้บุคคลในเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากเมืองท่าขี้เหล็ก สหภาพเมียนมา เข้ามายังพื้นที่ชายแดนไทยด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ก่อนส่งต่อไปยังพื้นที่ตอนในของไทยเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ หรือส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

คณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้บันทึกความเข้าใจความร่วมมือ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงาน ป.ป.ส., สำนักงานอัยการสูงสุด, กองบัญชาการกองทัพไทย (ศูนย์รักษาความปลอดภัย), กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด) ได้ร่วมกันบูรณาการความร่วมมือ จนกระทั่งรวบรวมพยานหลักฐานและขอศาลอนุมัติหมายจับนายธัชพล ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงราย ที่ 335/2568 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ในข้อหา “ร่วมกันนำเข้าในราชอาณาจักร, ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า), สมคบกันกระทำความผิด”

นายธัชพลฯ มีบทบาทเป็นผู้จัดหายาเสพติด (ยาบ้า, ไอซ์) โดยมีศักยภาพในการเข้าถึงกลุ่มผู้ผลิตในเมียนมา รวมถึงจัดหาทีมลำเลียงยาเสพติดจากเมียนมาลักลอบนำเข้าพื้นที่ชายแดนไทยด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย และส่งต่อให้กับเครือข่ายลำเลียงเข้าพื้นที่ตอนในของไทยเพื่อจำหน่าย หรือส่งต่อไปยังประเทศที่สาม นอกจากนี้ นายธัชพลฯ ยังเป็นผู้มีอิทธิพลในฝั่งเมียนมา คอยอำนวยความสะดวกจัดหาที่พักอาศัยและดูแลความปลอดภัยให้กับเครือข่ายยาเสพติดและกลุ่มคนไทยที่หลบหนีหมายจับคดียาเสพติด ปัจจุบัน นายธัชพลฯ พักอาศัยอยู่ที่เมียนมา มีกิจการในเมืองท่าขี้เหล็ก และเมืองเชียงตุง อาทิ ร้านทอง, รับเหมาก่อสร้าง, อินเทอร์เน็ต, สถานบันเทิง (คาราโอเกะ, ผับ), โรงแรม, ขนส่ง, และจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งประเมินมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1,000 ล้านบาท

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมา ด้านการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งในปัจจุบันปัญหาการค้ายาเสพติดในลักษณะเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค การบูรณาการทางการข่าวระหว่างหน่วยงานภายในประเทศและหน่วยงานระหว่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง การประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกันอย่างใกล้ชิด จะนำมาซึ่งผลสัมฤทธิ์ในการสืบสวนขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เห็นผลได้อย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับเครือข่ายที่ปฏิบัติการในวันนี้ ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ บุคคลเป้าหมายหลักที่ถูกออกหมายจับมีพฤติการณ์ในระดับผู้สั่งการ มีศักยภาพในการจัดหายาเสพติดไปกระจายในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งนำเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดมาแปลงเป็นทรัพย์สิน และลงทุนในธุรกิจต่างๆ ทั้งในไทยและเมียนมา ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท

“ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ผมได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมคณะ จะเดินทางไปเมียนมา เพื่อพบกับ พล.ต.ท.วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจเมียนมาและเลขาธิการ CCDAC และ พล.ต.จัตวา ต่าน ลวิน หม่อง เลขาธิการร่วมสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (CCDAC) เพื่อหารือเกี่ยวกับเครือข่ายดังกล่าว โดยจะขอความร่วมมือให้ทางเมียนมาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลตามหมายจับ และยึดอายัดทรัพย์สินในเมียนมาต่อไป” พ.ต.อ.ทวี กล่าวทิ้งท้าย

สำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานภาคี ได้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติดในทุกระดับการค้า ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นให้จับกุมกวาดล้างยาเสพติด ตัดวงจรการค้ายาเสพติดรายสำคัญให้ถึงระดับผู้สั่งการ โดยเฉพาะผู้สั่งการที่มีศักยภาพในการจัดหายาเสพติดจากต้นทางประเทศเพื่อนบ้าน และใช้เครือข่ายผู้ลำเลียงชาวไทย ตลอดจนใช้บุคคลชาวไทยถือครองทรัพย์สินแทน ยิ่งต้องเร่งดำเนินการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด

ตั้งแต่กลางปี 2567 จนถึงปัจจุบัน สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี เปิดปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” รวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง:

  • ครั้งที่ 1: จับกุมบุคคลตามหมายจับ 4 คน, ตรวจยึดทรัพย์สิน 66 ล้านบาท
  • ครั้งที่ 2: จับกุมบุคคลตามหมายจับ 3 คน, ตรวจยึดทรัพย์สิน 101 ล้านบาท
  • ครั้งที่ 3: จับกุมบุคคลตามหมายจับ 1 คน, ตรวจยึดทรัพย์สิน 80 ล้านบาท
  • ครั้งที่ 4 (ครั้งนี้): ยึดอายัดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 15.1 ล้านบาท และตรวจสอบทรัพย์สินของเครือข่ายธุรกรรมการเงินต้องสงสัยมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท