KA 32 ลุยดับไฟรอยต่อป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์อุทยานฯดอยสอยมาลัย

วันที่ 8 ก.พ. 68 ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.ส่งอากาศยาน KA -32 สนับสนุนการดับไฟในพื้นที่จังหวัดตากวันที่ 2 เร่ง โดยเข้าปฏิยัติการดับไฟรอยต่อป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์อุทยานดอยสอยมาลัย จังหวัดตาก

ศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า รายงานว่า วันนี้เป็นวันที่ 2 ที่ ชุดปฏิบัติการบิน ฮ.ปภ.32 จ.เชียงใหม่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ จ.ตาก โดยโดยได้ทำการสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่ท้อ อ.เมืองตาก เพื่อบินทิ้งน้ำดับไฟป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าแม่ท้อและป่าห้วยตากฝั่งขวา) บ้านลานสาง ต.แม่ท้อ อ.เมืองตาก ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดจุดความร้อนขึ้นในห้วงบ่าย และเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่ภาคพื้นไม่สามารถเข้าไปดำเนินการดับไฟได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่สูงชัน ทั้งการเดินทางเข้าไปยากลำบากและต้องใช้เวลานาน ซึ่งการปฏิบัติภารกิจบินสนับสนุนในวันนี้ ได้บินทิ้งน้ำ จำนวน 10 เที่ยวบิน ปริมาณน้ำที่ใช้จำนวน 30,000 ลิตร

ทั้งนี้อากาศยาน KA -32 ยังคงสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 อย่างต่อเนื่อง หากพื้นที่ไหนเกินกำลังของภาคพื้นสามารถร้องขอการใช้อากาศยานมาได้ที่ศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า เพื่อทางศูนย์จะได้วางแผนการใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์

รอง ผอ.รมน.เชียงใหม่ ลงพื้นที่ป่าหน้าดอยสุเทพ ให้กำลังใจหน่วยพิทักษ์ผาดำ

รอง ผอ.รมน.เชียงใหม่ ลงพื้นที่ป่าหน้าดอยสุเทพ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ มอบนโยบาย ที่หน่วยพิทักษ์ผาดำ พร้อมรณรงค์ “เชียงใหม่ ไม่เผา” ในพื้นที่บ้านขุนช่างเคี่ยน

วันที่ 7 ก.พ.68 เวลา 10.00 น. พ.อ.ยรรยง ทิพาปกรณ์ รอง ผอ.รมน.จ.เชียงใหม่ (ท.) ตรวจเยี่ยม ชป.ป้องกันไฟป่า (ร.7 พัน.1) ในการปฏิบัติภารกิจ ตามแผนป้องกันปัญหาไฟป่า หมอกควันในพื้นที่บริเวณหน้าดอยสุเทพ(ฝั่ง อ.เมืองเชียงใหม่)ในห้วงเดือน ก.พ. 68 ณ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติดอย สุเทพ-ปุย ที่ 1 (ผาดำ) โดยได้รับฟังการบรรยายสรุป และมอบนโยบาย แนวทางการปฏิบัติ รวมทั้งได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับกำลังพล และ จนท.อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย

จากนั้น เวลา 11.30 น. ได้ร่วมกันลงพื้นที่บ้านขุนช่างเคี่ยน ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “เชียงใหม่ ไม่เผา” เพื่อเป็นการสร้างการตระหนักรู้ ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ดอยสุเทพ

ทหารปรับแผนใช้จิตอาสา รณรงค์ร่วมกับฝ่ายปกครอง รพ.สต.เคาะประตูบ้านงดเผา

ทหารปรับแผนใช้กำลังพลจิตอาสา ชุดรณรงค์ฯลงพื้นที่ร่วมกับฝ่ายปกครองและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ในการเคาะประตูบ้านรณรงค์ลดการเผาป่า แจกหน้ากากกลุ่มเปราะบาง

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00 น.ที่ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม พลตรี ชายแดน กฤษณสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 เปิดเผยว่า จากการติดตามรายงานสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองในพื้นที่ 17 จว.ภาคเหนือ ค่าเฉลี่ยสะสม ประจำวันที่ 7 ก.พ. 68 เวลา 0700 ที่ผ่านมา ตรวจพบจุดความร้อน ในพื้นที่ 17 จว.ภาคเหนือ จำนวน 259 จุด สูงสุดที่ จว.ต.ก. จำนวน 36 จุด รองลงมาคือ จว.พ.ช. จำนวน 35 จุด และ จว.ล.ป. จำนวน 30 จุด ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นป่าอนุรักษ์ จำนวน 116 จุด รองลงมาคือ ป่าสงวนฯ จำนวน 91 จุด และ เขต สปก. จำนวน 31 จุด
ส่งผลให้ปัจจุบันภาคเหนือมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก เกินเกณฑ์มมตรฐาน จำนวน 14 จังหวัด สูงสุดที่ ต.ในเมือง อ.เมือง จว.พ.ล. 61.00 มคก./ลบ.ม. รองลงมาที่ ต.ในเวียง อ.เมือง จว.น.น. 57.80 มคก./ลบ.ม. และ ต.อุทัยใหม่ อ.เมือง จว.อ.น. 53.30 มคก./ลบ.ม. ซึ่งเริ่มมีผลต่อสุขภาพของประชาชน

ขณะเดียวกันศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ได้จัดกำลังพลจิตอาสา ชุดรณรงค์ฯลงพื้นที่ร่วมกับฝ่ายปกครองและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในการเคาะประตูบ้านรณรงค์ลดการเผาป่าจากประชาชน เนื่องจากปัจจุบันภาคเหนือเริ่มมีอากาศร้อนในตอนกลางวันหากเกิดไฟป่าจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่า นอกจากนี้ได้แจกหน้ากากอนามัยให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงในชุมชนเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อีกด้วย

จัดกำลังกว่าพันนาย ปูพรมลาดตระเวนป้องกันไฟป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ

กำลังทหารร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จัดกำลังกว่า 1,000 นายปูพรมลาดตระเวนเพื่อป้องกันปัญหาไฟป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ หลังพบว่าหลายจังหวัดเริ่มมีจุดความร้อนเกิดขึ้น ส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก เกินเกณฑ์มาตรฐานในหลายพื้นที่ 

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.00 น.ที่ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม พลตรี ชายแดน กฤษณสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือพบว่าหลายจังหวัดเริ่มมีจุดความร้อนเกิดขึ้น ส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก เกินเกณฑ์มาตรฐานในหลายพื้นที่ ที่สำคัญเริ่มมีผลต่อสุขภาพของประชาชน

พลโทกิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 จึงสั่งการให้ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า นำกำลังกว่า 1,000 นาย ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืชจัดชุดปฏิบัติการลาดตระวนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก จำนวน 208 ชุด ลงพื้นที่ปฏิบัติงานตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 พ.ค.2568 ตามพื้นที่ควบคุมไฟป่า 12 กลุ่มป่าที่ทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 – 16 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืชกำหนดไว้ ประกอบกับทางหน่วยทหารทุกในพื้นที่ภาคเหนือได้ปรับแผนการฝึกประจำปีของหน่วยให้สอดคล้องกับการสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในปัจจุบัน ตามนโยบาย แม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อลดผลกระทบกับประชาชนให้น้อยที่สุด

ทั้งนี้การปฏิบัติงานของชุดลาดตระเวนดังกล่าว มีภาระกิจในลาดตระเวน เฝ้าระวังและรณรงค์ประชาสัมพันธ์ร่วมกับชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการลดการเผาป่าตามประกาศห้ามเผาในแต่ละจังหวัด อันเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ

ขณะเดียวกันภาคเอกชนและชมรมต่างๆในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน ได้มอบน้ำดื่มให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการควบคุมและดับไฟป่า ผ่านทางศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

แก๊งค์ยาบ้าหัวใส ซุกยาบ้าห่อฟอยล์ห่อทับด้วยมะขามเปียก เตรียมส่งผ่านบริษัทขนส่ง

ยาบ้าเกือบ 4 พันเม็ด ห่อกระดาษคาร์บอนและฟอยล์ เอามะขามเปียกห่ออีกชั้น เตรียมส่งผ่านบริษัทรับส่งพัสดุ ชุด ศป.ปส.อ.แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ตรวจเจอก่อน พร้อมขยาบผลตามรวบตัวคนฝากส่งได้ สารภาพรับจ้างมาสองพันห้านำมาส่ง

วันที่ 23 ม.ค 68 ที่ผ่านมา ภายใต้การอำนวยการของ นายปรีชา ศิรินาม นายอำเภอแม่ฟ้าหลวง/ ผอ.ศป.ปส.อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย มอบหมายให้ นายอานนท์ ขันคำ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง พร้อมด้วย ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครอง อ.แม่ฟ้าหลวง เข้าตรวจสอบสถานประกอบการ รับ-ส่ง พัสดุในระบบโลจิสติกส์ จำนวน 5 แห่ง ในพื้นที่ ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 ม.ค.68 เวลาประมาณ 20.00 น. ได้รับแจ้งจากสายลับ ว่า จะมีการลักลอบขนส่งยาเสพติด ผ่านระบบโลจิสติกส์บริษัท รับ-ส่ง พัสดุเอกชน ในพื้นที่บ้านเทอดไทย ม.1 ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 68 เวลาประมาณ 09.00 น. เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบ ร้านรับ-ส่ง พัสดุในระบบโลจิสติกส์ ตั้งอยู่ ม.1 ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

เจ้าหน้าที่ตรวจพบกล่องพัสดุต้องสงสัย โดยมีปลายทาง จ.ยะลา จึงอาศัยอำนาจของ นายอานนท์ ขันคำ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ทำการเปิดตรวจสอบ ผลการตรวจสอบภายในกล่องพัสดุ พบยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) จำนวน 3,926 เม็ด ห่อหุ้มด้วยกระดาษคาร์บอนและกระดาษฟอยล์ มีมะขามเปียกห่อหุ้มอำพรางอีก 1 ชั้น จึงได้ทำการตรวจยึดไว้

ทั้งนี้เจเาหน้าที่ได้ทำการติดตามขยายผลหาผู้กระทำความผิด สามารถจับกุม นายปกรณ์เกียรติฯ อายุ 38 ปี ราษฎรบ้านพนาสวรรค์ ม.9 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย พร้อมรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำความผิด หมายเลขทะเบียน 4484 เชียงราย จับได้บริเวณถนนสาธารณะหมู่บ้านพนาสวรรค์

จากการสอบถามนายปกรณ์เกียรติ ให้การรับสารภาพว่า ตนได้นำยาเสพติดดังกล่าวไปส่งที่บริษัทรับ-ส่งพัสดุเอกชนในพื้นที่ ต.เทอดไทย จริง โดยมีผู้จ้างวานให้นำยาเสพติดไปส่ง ได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 2,500 บาท เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวมายัง ที่ทำการปกครองอำเภอแม่ฟ้าหลวง เพื่อทำบันทึกการจับกุมและสอบสวนหาข้อมูลเครือข่ายเพิ่มเติม จากนั้นได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่ฟ้าหลวง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สมรสเท่าเทียมวันแรก อำเภอเมืองลำพูน คู่สมรสนั่งรถถีบสามล้อจดทะเบียน

คู่สมรสกลุ่ม LGBTQ นั่งรถถีบสามล้อจดทะเบียนสมรสที่ ที่ว่าการอำเภอเมืองลำพูน ฉลองสมรสเท่าเทียมวันแรก บรรยากาศอบอวลเต็มไปด้วยความสุขของคู่รักที่มาร่วมจดทะเบียนสมรส ขณะเดียวกันพบคู่รักหญิง วัย 64 ปี และ 59 ปีจดทะเบียนสมรสคู่แรกตั้งแต่เช้าตรู่ คู่รักกลุ่ม LGBTQ พยานรักต่างพากันนั่งรถถีบสามล้อจากอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี เพื่อเข้ามาจดทะเบียนสมรสที่ ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ฉลองสมรสเท่าเทียมวันแรก

นายยุทธพงศ์ ไชยศร นายอำเภอเมืองลำพูน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ จ.ลำพูน ให้การต้อนรับและร่วมแสดงความยินดีกับคู่สมรส ทั้ง 3 คู่ ที่จูงมือกันมาจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังกฎหมายสมรสเท่าเทียม หรือพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พุทธศักราช 2567 ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อเดือนกันยายน 2567 และกำหนดเวลาอีก 120 วัน เพื่อปรับปรุงกฎระเบียบกฎหมายต่างๆ ได้ให้สอดคล้อง และมีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการวันแรกในวันนี้ คือวันที่ 23 มกราคม 2568 ท่ามกลางเพื่อนๆใน กลุ่มอาสาสมัครเพื่อการพัฒนาชุมชนและการคุ้มครองสิทธิ หรือกลุ่ม VCAP ลำพูนร่วมเป็นสักขีพยาน ในวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้

นายอำเภอเมืองลำพูน เปิดเผยว่า วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกในการเปิดให้มีการจดทะเบียนสมรส ตามกฎหมายสมรสเท่าเท่าเทียม ซึ่งทางรัฐบาลก็ได้มีการปรับปรุงกฎหมายสมรสเท่าเทียมซึ่งทุกหน่วยงานได้จัดเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร สถานที่ สำหรับอำเภอเมืองลำพูนเองก็มีความยินดีและพร้อมให้บริการกับคู่สมรสทุกเพศทุกวัย ที่จะมาจดทะเบียนสมรสตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่างไรก็ตามก่อนช่วงเช้ามีคู่สมรสยื่นจดทะเบียนสมรสแล้ว 2 คู่ คู่แรกเป็นคู่ผู้หญิงกับ ผู้หญิงอายุ 64 ปี และ 59 ปีจดทะเบียนสมรสคู่แรกตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งทั้งสองคู่ทำงานกะดึกเพิ่งเลิกงานตอนเช้าเข้ามายื่นขอจดทะเบียนสมรสซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีก็เสร็จสิ้น

สำหรับคู่รัก LGBTQ นายภัทรนันท์ แดงบุญ  เปิด เผยว่า ตนกับนายจตุพร โนสัก อยู่กินกันมานานถึง 10 ปี วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี หลังจากที่เมื่อคืนทำงานกะดึก พอช่วงเช้าถือโอกาสพากันมาจดทะเบียนสมรส ซึ่งตนกับแฟนรู้สึกดีใจมากที่มีวันนี้ นอกจากนี้สิทธิการใช้ชีวิตคู่จะเท่าเทียมกับคนอื่นยกตัวอย่างเรื่องทรัพย์สินที่หามาด้วยกันและการทำประกันชีวิตที่ต้องยกผลประโยชน์ให้กันและกันจะทำให้ชีวิตมีความมั่นคงขึ้น

ด้านนางสาวชนรดี พรมเรือง ( และนางสาวกมลวรรณ เพ็ญจิต ทั้งสองกล่าวว่าตนทั้งสองคบหาอยู่กินกันมานานกว่า 7 ปี ดีใจมากที่มีวันนี้หลังจากที่รอมานานวันนี้จึงไม่ลังเลใจเลยในการมาจดทะเบียนสมรส ซึ่งจะทำให้ทั้งสองเข้าถึงสิทธิประโยชน์หลายๆ อย่างหลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว นอกจากนี้ยังรู้สึกดีที่สังคมยอมรับเรามากขึ้น ทำอะไรง่ายขึ้นและเปิดเผยตัวเองได้ อย่างไรก็ตามอยากเชิญชวนให้เพื่อนๆในกลุ่ม LGBTQ ที่มีคู่รักจูงมือพากันมาจดทะเบียนสมรสซึ่งขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และมีสิทธิประโยชน์คุ้มครองเราและคู่สมรสเรามากขึ้น

เร่งระบายฝุ่นละอองในอากาศ ภายหลังพบค่าฝุ่นเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ( ศอ.ปกป.ภาค 3 ) ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เร่งระบายฝุ่นละอองในอากาศ ภายหลังพบค่าฝุ่นเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

วันที่ 22 มกราคม 2568 ที่หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดเชียงใหม่ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 พร้อมคณะตรวจเยี่ยมและรับฟังการบรรยายแผนการปฏิบัติปี 68 ของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ โดยมี นายรังสรรค์ บุศย์เมือง ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ

รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 กล่าวว่าตรวจเยี่ยมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังแผนการปฏิบัติปี 68 ของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองในพื้นที่ 17 จว.ภาคเหนือพบว่า เริ่มมีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก เกินเกณฑ์มาตรฐานหลายจังหวัดโดยเฉพาะภาคเหนือตอนล่าง ดังนั้น ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ( ศอ.ปกป.ภาค 3 )จึงได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือและศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ(ตอนล่าง) กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เร่งระบายฝุ่นละอองในอากาศ โดยใช้เครื่องบิน CASA จำนวน 3 ลำขึ้นบินฉีดสเปรย์น้ำเจาะชั้นบรรยากาศเพื่อระบายฝุ่นออกจากพื้นที่ที่ประสบปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยเฉพาะ จ.พิษณุโลก จ.สุโขทัย และ จ.อุตรดิตถ์

ด้านนายรังสรรค์ บุศย์เมือง ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ เปิดเผยว่า ปัจจุบันศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ และศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ(ตอนล่าง) มีแผนการบิน (เพิ่มเติม) ในการเป็นหน่วยดัดแปรสภาพอากาศ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.ตาก จ.แพร่ และ จ.พิษณุโลก เพื่อบรรเทาปัญหาหมอกควันและสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยใช้เทคนิคการก่อเมฆ การเลี่ยงเมฆเพื่อดูดซับและระบายฝุ่นละออง และเทคนิคการลดอุณหภูมิชั้นบรรยากาศผกผันเพื่อระบายฝุ่นก่อนเข้าพื้นที่(ในวันที่ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศมีปริมาณน้อย)

ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลตลอดจนในพื้นที่ภาคเหนือเมื่อพิจารณาพื้นที่เป้าหมายเทียบความเข้มข้นก่อน-หลัง ปฏิบัติการ พบว่าค่าฝุ่นละออง (Pm2.5) มีแนวโน้มลดลง โดยการเปลี่ยนแปลงลดลงน้อยกว่าวันก่อนหน้า และค่าดัชนีคุณภาพอากาศ มีแนวโน้มคงที่ และมีค่ามากกว่าวันก่อนหน้า อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ ยังคงประชุมวางแผนการปฏิบัติการระบายฝุ่นละอองในพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อเพื่อบรรเทาปัญหาหมอกควันและสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)

สถานีวิทยุ ม.ก. จัดงานใหญ่ครบรอบ 60 ปี เดินขับเคลื่อนภารกิจสร้างองค์ความรู้สู่ชุมชน

สถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (สถานีวิทยุ ม.ก.) จัดงานใหญ่ครบรอบ 60 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจสร้างองค์ความรู้สู่ชุมชนด้วยศาสตร์แห่งแผ่นดินสู่ความยั่งยืน รับมือวิกฤตโลกแปรปรวน

22 ม.ค. ที่สถานีวิทยุมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จังหวัดเชียงใหม่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ผศ.ดร.กฤษณ์ วันอินทร์ รองอธิการดีฝ่ายนวัตกรรมและพันธกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เป็นประธานเปิดงานครบรอบการก่อตั้งครบ 60 ปี ของสถานีวิทยุ ม.ก.เชียงใหม่โดนมี ผศ.อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ ผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (สถานีวิทยุ ม.ก.) รักษาการผู้อำนวยการสถานีวิทยุ ม.ก.เชียงใหม่ พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่รวมทั้งผู้บริหารหน่วยงานภาคราชการ เอกชน องค์กรภาคประชาชนและหน่วยงานต่างๆเข้าร่วมงานอย่างเนืองแน่น ทั้งนี้งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี การก่อตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จังหวัดเชียงใหม่(สถานีวิทยุ ม.ก.เชียงใหม่) เดินหน้าทำหน้าที่ในบทบาทความเป็นสื่อวิทยุเพื่อขับเคลื่อนศาสตร์แห่งแผ่นดิน ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตร ภาษา วัฒนธรรมและบริการสาธารณะ ส่งเสริมเกษตรกรน้อมนำหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติในการดำเนินชีวิตและเป็นสื่อวิทยุฯ ที่เป็นที่พึ่งให้แก่เกษตรกรทั่วไปเพืีอสร้างเครือข่ายเป็น“ครอบครัวม.ก.” และเพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากร คณะทำงานฯ ภาคประชาชน“ครอบครัวม.ก.” ทุกๆกลุ่ม ตลอดจนหน่วยงานภาคีทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแบ่งปันความรู้เพื่อนำไปสู่พัฒนาคุณภาพชีวิตที่มีภูมิคุ้มกันรับมือกับทุกภาวะสถานการณ์ได้อย่างยั่งยืน

ผศ.อนุพรเปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สถานีวิทยุ ม.ก.เชียงใหม่ ได้ทำหน้าที่ในฐานะสื่อวิทยุกระจายเสียง ให้องค์ความรู้ ข่าวสารด้านการเกษตรและความรู้ในด้านต่างๆ ภายใต้แนวทาง สถานีเพื่อการเกษตร ภาษา วัฒนธรรมและบริการสาธารณะนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะครบวาระ 60 ปีในการก่อตั้ง วันที่ 22 มกราคมนี้ ซึ่งสถานีวิทยุม.ก.เชียงใหม่เป็นสถานีเครือข่ายภูมิภาคแห่งแรกต่อจากสถานีวิทยุ ม.ก.แม่ข่ายที่บางเขน ให้บริการในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนนับตั้งแต่ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2508 ส่งกระจายเสียงด้วยระบบ am stereo multiplex คลื่นความถี่ 612 กิโลเฮิร์ต โดย รองศาสตราจารย์พร สุวรรณวาจกกสิกิจ อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในขณะนั้น หลังจากที่ได้จัดตั้ง สถานีวิทยุ ม.ก. แห่งแรก ม.ก.บางเขน เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2504 และต่อมาได้จัดตั้งจนครบทั้ง 4 ภูมิภาค คือ สถานีวิทยุ ม.ก.ขอนแก่น และ สถานีวิทยุ ม.ก.สงขลา ในที่สุด เพื่อสืบทอดเจตนารมย์ ของคุณหลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ (บิดาแห่งการเลี้ยงไก่ของประเทศไทย) ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นผู้จัดรายการวิทยุทางการเกษตรคนแรกของประเทศไทย โดยจัดรายการวิทยุฯ ในชื่อ โรงเรียนไก่ทางอากาศ ทางสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ในขณะนั้น เพื่อใช้สื่อวิทยุกระจายเสียง ในการถ่ายทอดความรู้ ข่าวสาร ความบันเทิง ไปสู่เกษตรกร ปัจจุบันสถานีวิทยุ ม.ก.เชียงใหม่ ได้มีการออกอากาศรายการวิทยุในหลายรูปแบบรายการเพื่อมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเต็มรูปแบบในทุกแพล็ตฟอร์มทั้งภาพและเสียงผ่านระบบออนไลน์ ทั้ง www.kurplus612.com, Facebook Live, Youtube Live และแพล็ตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มวัย อีกทั้งยังมีความร่วมมือกับหน่วยงานองค์กรต่างๆเพื่อร่วมกันให้ความรู้กับประชาชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิต การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามของชุมชนและดูแลสิ่งแวดล้อม

สำหรับงานครบรอบการก่อตั้ง 60 ปีครั้งนี้ได้มีการจัดกิจกรรมขึ้น ภายใต้หัวข้อ “เปิดประตูบ้านด้านทิศเหนือ#2 ของ มก. 60 ปี ม.ก.เชียงใหม่ ที่พึ่งเกษตรกร : ความพอเพียงสู่ความยั่งยืนรับโลกรวน” โดยการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิธ เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อันจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมต่อไป มีการจัดแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนเครือข่าย “ครอบครัวม.ก.”พร้อมจำหน่ายผลผลิตต่างๆ ใน ตลาดนัดสีเขียวครอบครัวม ก.ด้วย ซึ่งมีหน่วยงานองค์กรต่างๆเข้าร่วมมากกว่า 30 หน่วยงาน เช่น ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ, ธ.ก.ส., ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงใหม่, ศูนย์ปรับปรุงพันธุ์และผลิตเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์ ม.แม่โจ้, ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่, สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ เป็นต้น

โดยกิจกรรมมีตั้งแต่เวลา 08.00 – 13.00 น. เชียงใหม่ งานประกอบไปด้วยการเสวนาทางวิชาการ หัวข้อ “เศรษฐกิจพอเพียง ทางรอดเกษตรกรไทย ภาวะโลกรวน จริงหรือ?”มีผู้ร่วมเสวนาคือผศ.ดร.กฤษณ์ วันอินทร์ รองอธิการดีฝ่ายนวัตกรรมและพันธกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ที่ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานพร้อมร่วมเสวนาฯดังกล่าวใน หัวข้อ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) ภาวะโลกรวน กระทบภาคเกษตรไทย, นายวิริยะ ช่วยบำรุง ข้าราชการบำนาญ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้สนองงานฝ่ายป่าไม้ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (มุมมองหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ), ศ.ดร.อานัฐ ตันโช ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาเกษตรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กรรมการมูลนิธิโครงการหลวง (มุมมองหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงระดับองค์กร), ดร.ประทุม สุริยา ประธานศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ สวนครูประทุมบ้านสันป่ายาง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ (มุมมองหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงระดับชุมชน/ บุคคล), ผศ.พาวิน มะโนชัย อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ครูใหญ่โรงเรียนลำไยทางอากาศ สถานีวิทยุ ม.ก.เชียงใหม่ (ทางรอดการผลิตลำไยในภาวะโลกรวน) นางแสงเทียน เนียมทรัพย์ สถานีวิทยุม.ก. เชียงใหม่ (การผลิตรายการ วิทยุม.ก. รับโลกรวน) ผู้ดำเนินการเสวนา โดย นายถวิล สุวรรณมณี บรรณาธิการข่าวอาวุโส สถานีวิทยุ ม.ก. อดีตนายกสมาคมผู้สื่อข่าวเกษตรแห่งประเทศไทย นายกสมาคมโซลาเซลล์ ทางการเกษตร โดยมีการถ่ายทอดสดไปทุกแพลตฟอร์มทั้ง 4 ภูมิภาคด้วย.

กระบะลงดอยอินทนนท์ เสียหลักแหกโค้งชนต้นไม้ ดับคารถ

กระบะลงดอยอินทนนท์ เสียหลักแหกโค้งชนต้นไม้ ดับคารถ เหตุเกิด กม.29-30 ขาลงดอย คาดระบบเบรคไม่พร้อมใช้งาน

วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เวลา 10.00 น. อำเภอจอมทอง รายงานเหตุ รถยนต์พลิกคว่ำเอง เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ว่า วันที่ 30 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 23.50 น. เกิดเหตุรถยนต์ ยี่ห้ออีซูสุ สีเทา ทะเบียน ลำพูน เดิดอุบัติเหตุแหกโค้งพุ่งชนต้นไม้เสียหลักพลิกคว่ำ บริเวณเส้นทางจอมทอง – อินทนนท์ ฝั่งขาลง ระหว่าง กม.29-30 พื้นที่หมู่ 7 ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่

มีรายงานเบื้องต้น พบผู้ขับขี่เสียชีวิตติดอยู่ในรถ ทราบชื่อ นายดวงดี อายุ 33 ปี อยู่หมู่ 10 ต.ปางหินฝน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ สวมเสื้อแขนสั้น สีน้ำเงินเข้ม ดำ สวมกางเกงขาสั้น สีดำ ซึ่งสาเหตุเบื้องต้นเกิดจากสภาพทาง ที่เป็นทางโค้งลงเขาลาดชัน เป็นเหตุให้รถเสียหลักจึงชนต้นไม้ข้างทาง และการเบรคห้ามล้ออาจไม่พร้อมใช้งาน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ประสานแพทย์เวรตรวจวัดปริมาณ แอลกอฮอล์ในเส้นเลือดด้วยแล้ว

ผาเมืองปะทะขบวนการยานรก พื้นที่บ้านอรุโณทัยยึดยาบ้าได้ 2.4 ล้านเม็ด

กองกำลังผาเมือง ปะทะกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ยึดยาบ้า 2,400,000 เม็ด ในพื้นที่บริเวณเส้นทางหลังหมู่บ้าน บ้านอรุโณทัย ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2567 เวลา 1100 กองกำลังผาเมือง โดย พลตรี กิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง มอบหมายให้ พันเอก ไมตรี ศรีสันเทียะ เสนาธิการกองกำลังผาเมือง เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง พร้อมด้วย ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจไชยานุภาพ ร่วมกับ หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคเหนือ, ฝ่ายปกครองอำเภอเชียงดาว, สถานีตำรวจภูธรนาหวาย และกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 335 ร่วมตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุและตรวจนับของกลาง พร้อมทั้งชี้แจงให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ

กรณี เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2567 เวลา 05.00 นาฬิกา กองร้อยทหารม้าที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจไชยานุภาพ จัดกำลังพล จำนวน 1 ชุดปฏิบัติการ ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเฝ้าตรวจเพื่อป้องกันและสกัดกั้นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด บริเวณเส้นทางหลังหมู่บ้าน บ้านอรุโณทัย ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ตรวจพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยเดินเท้าประมาณ 10 – 15 คน ตามเส้นทางในภูมิประเทศ ลักษณะแบกเป้สะพายหลัง เดินลัดเลาะมาตามเส้นทางในภูมิประเทศ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจค้น แต่กลุ่มบุคลดังกล่าวเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ ได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้เกิดการปะทะกัน ประมาณ 5 นาที ผลการปฏิบัติ ฝ่ายเราปลอดภัย ชุดปฏิบัติการจึงวางกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ และตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ ตรวจพบเป็นกระสอบปุ๋ยดัดแปลงเป็นเป้สะพายหลัง จำนวน 12 เป้ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจสอบ พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) บรรจุอยู่ในกระสอบเป้ จำนวนประมาณเป้ละ 200,000 เม็ด รวมทั้งสิ้นประมาณ 2,400,000 เม็ด และโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง ไม่พบร่องรอยของกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติด บาดเจ็บหรือเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

ปัจจุบันหน่วยได้นำของกลางทั้งหมดส่ง สถานีตำรวจภูธรนาหวาย เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป