วิกฤตหมอกควัน! 6 จังหวัดภาคเหนือค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน สั่งเฝ้าระวังเข้ม

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หลังพบ 6 จังหวัดในภาคเหนือเผชิญปัญหาวิกฤตค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เกินเกณฑ์มาตรฐาน จนเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอนวิกฤตหนักสุด รองลงมาคือเชียงรายและเชียงใหม่ หน่วยงานภาครัฐเร่งบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งทางบกและทางอากาศ เพื่อควบคุมและดับไฟป่าอย่างเร่งด่วน

เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 เป็นประธานการประชุมร่วมกับภาคีเครือข่ายการบินควบคุมไฟป่า ทั้งกองทัพอากาศและหน่วยบินต่างๆ เพื่อวางแผนการบินลาดตระเวนและกำหนดเป้าหมายการควบคุมไฟป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ

สถานการณ์ล่าสุดพบว่า จุดความร้อนในพื้นที่ภาคเหนือเพิ่มสูงขึ้นถึง 27 จุด โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีจุดความร้อนมากที่สุดถึง 13 จุด รองลงมาคือจังหวัดลำปาง 5 จุด และจังหวัดน่าน 3 จุด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ (17 จุด) รองลงมาคือป่าสงวนแห่งชาติ (6 จุด) และพื้นที่ชุมชนและอื่นๆ (3 จุด)

ผลจากสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ใน 6 จังหวัดของภาคเหนือเกินเกณฑ์มาตรฐาน โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • แม่ฮ่องสอน (ต.เวียงใต้ อ.ปาย): 79.70 มคก./ลบ.ม. (มีผลต่อสุขภาพ)
  • เชียงราย (ต.เวียงพาคำ อ.แม่สาย): 63.70 มคก./ลบ.ม. (มีผลต่อสุขภาพ)
  • เชียงใหม่ (ต.ช้างเผือก อ.เมือง): 54.10 มคก./ลบ.ม. (เริ่มมีผลต่อสุขภาพ)
  • (อีก 3 จังหวัดที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน แต่ไม่มีรายละเอียดระดับค่าฝุ่นปรากฏในข้อมูล)

เพื่อแก้ไขสถานการณ์เร่งด่วน ในช่วงบ่ายของวันที่ 24 เมษายน 2568 ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ได้ร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่งอากาศยาน KA-32-01 เข้าควบคุมไฟป่าในเขตป่าสงวนแม่ตุ๋ยฝั่งซ้าย บ้านปางอาย ตำบลเมืองปาน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง โดยมีการบินทิ้งน้ำถึง 7 เที่ยว รวมปริมาณน้ำ 21,000 ลิตร

ขณะเดียวกัน กองทัพอากาศได้สนับสนุนหน่วยบิน 4611 ฝูงบิน 461 กองบิน 46 จังหวัดพิษณุโลก ใช้อากาศยาน บ.ล.2 ก (BT-67) บินทิ้งน้ำควบคุมไฟป่าในพื้นที่ตำบลผาบ่อง อำเภอเมือง และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 2 เที่ยวบิน รวมปริมาณน้ำ 6,000 ลิตร

ศูนย์อำนวยการฯ ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะดำเนินมาตรการเพิ่มเติม เพื่อควบคุมและลดผลกระทบจากปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือต่อไป พร้อมทั้งขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ให้งดเว้นการเผาในที่โล่งทุกชนิด และช่วยกันเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแสการเกิดไฟป่าแก่เจ้าหน้าที่โดยด่วน

เหนือระอุ! แม่ฮ่องสอนจุดความร้อนสูงสุด ฝุ่นพิษเกินมาตรฐาน

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 รายงานสถานการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 โดยระบุถึงการเพิ่มขึ้นของจุดความร้อนในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งส่งผลให้บางพื้นที่ในภาคเหนือ รวมถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เกินมาตรฐาน หน่วยงานได้ดำเนินการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมมาตรการรับมือ

จังหวัดเชียงใหม่: เมื่อเวลา 09.00 น. ของวันที่ 22 เมษายน 2568 ณ ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์ฯ ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือว่า ศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่าของศูนย์ฯ ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดพบว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีการเพิ่มขึ้นของจุดความร้อนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

ในช่วงเช้าของวันดังกล่าว พบจุดความร้อนรวมทั้งสิ้น 101 จุด ในพื้นที่ 17 จังหวัด โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีจำนวนจุดความร้อนสูงสุดถึง 61 จุด รองลงมาคือจังหวัดเชียงใหม่ 19 จุด และจังหวัดตาก 5 จุด จุดความร้อนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 45 จุด รองลงมาคือพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 44 จุด และพื้นที่เกษตร 8 จุด

นอกจากนี้ ยังตรวจพบว่ามี 3 จังหวัดที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เกินมาตรฐาน ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน (ตำบลแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง วัดได้ 64.30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร), จังหวัดสุโขทัย (ตำบลธานี อำเภอเมือง วัดได้ 43.30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) และจังหวัดเชียงใหม่ (ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม วัดได้ 41.70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร)

จากข้อมูลสะสมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าภาคเหนือมีจุดความร้อนเกิดขึ้นรวม 504 จุด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนลดลง 2,486 จุด คิดเป็นร้อยละ 83.14 โดยจังหวัดที่มีจุดความร้อนสะสมสูงสุด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน (141 จุด), พิจิตร (81 จุด) และนครสวรรค์ (76 จุด) ทั้งนี้ คุณภาพอากาศโดยรวมในพื้นที่ภาคเหนือยังคงอยู่ในระดับสีเขียวถึงฟ้า ซึ่งไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ยังคงดำเนินการจัดกำลังเพื่อลาดตระเวนและเฝ้าระวังการเกิดไฟป่าในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่ร้อนอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไฟป่าได้ จึงขอความร่วมมือประชาชนในการงดเว้นการเผาในทุกกรณีตลอดเดือนเมษายน เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

มงคลเมือง! มูลนิธิอาจารย์วารินทร์ฯ บวงสรวงใหญ่ สมโภชเชียงใหม่ 729 ปี

เชียงใหม่ – ในวาระอันเป็นมงคลของการสมโภชเมืองเชียงใหม่ครบรอบ 729 ปี มูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ และมูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา ได้ร่วมกันจัดพิธีบูชาบวงสรวงอันศักดิ์สิทธิ์ ถวายแด่องค์บูรพมหากษัตริย์ล้านนาไทยและพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ตลอดจนเทพเทวาผู้ปกปักษ์รักษาเมืองและประเทศ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่เมืองเชียงใหม่และชาวเมือง โดยมีอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เป็นประธานในพิธีสำคัญนี้

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2568 เวลา 10.00 น. ณ ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ จังหวัดเชียงใหม่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และศรัทธา ในพิธีบูชาบวงสรวงที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีเครื่องบวงสรวงอันประณีตกว่า 100 รายการ ทั้งอาหารคาวหวาน ผลไม้ และบายศรีโบราณ ซึ่งได้รับการจัดเตรียมด้วยความร่วมมือจากมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ, มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา, คุณภีชญา กริ่มวงศ์รัตน์ และคณะศิษยานุศิษย์ ด้วยงบประมาณกว่า 600,000 บาท เพื่อเป็นการน้อมสักการะและแสดงความกตัญญูต่อบูรพกษัตริย์ผู้ทรงคุณูปการต่อบ้านเมือง

นอกเหนือจากพิธีบวงสรวงแล้ว มูลนิธิฯ และคณะศิษยานุศิษย์ยังได้แสดงเจตจำนงในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและช่วยเหลือสังคม โดยได้ร่วมกันถวายกองผ้าป่าจำนวน 50,000 บาท แด่วัดอินทขิล (สะดือเมือง) พร้อมกันนี้ ยังได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น อาทิ ข้าวสาร ยารักษาโรค และทุนทรัพย์ รวมมูลค่า 200,000 บาท แก่ผู้ยากไร้จำนวน 500 ราย เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สังคมที่ดี

การจัดงานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ แต่ยังเป็นการส่งต่อความเป็นสิริมงคลและขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลเมืองเชียงใหม่ โดยมีคณะศิษยานุศิษย์หลวงปู่เฒ่าเกวาลันแห่งเทือกเขาหิมาลัยเข้าร่วมอนุโมทนาในบุญกุศลครั้งนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญ และความเป็นอยู่ที่ดีแก่ทุกผู้ทุกคน

ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. สนธิกำลังลาดตระเวนต่อเนื่อง สกัดไฟป่าอินทนนท์ แม้หมอกควันคลี่คลาย

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า (ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.) ยังคงปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยงภัยไฟป่าอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและประชาชนในพื้นที่อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ลงพื้นที่รณรงค์และเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด แม้สถานการณ์หมอกควันจะบรรเทาลงแล้วก็ตาม

เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองภาค 3 เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า (ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.) ได้นำกำลัง 2 ชุดปฏิบัติการลาดตระเวนจากกองพันพัฒนาที่ 3 ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์, สถานีควบคุมไฟป่าดอยอินทนนท์, ส่วนราชการ, ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านในพื้นที่อำเภอจอมทอง ลงพื้นที่บ้านแม่ปอน หมู่ 15 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรณรงค์และลาดตระเวนแนวป้องกันไฟป่า แก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยมีภารกิจลาดตระเวน เฝ้าระวัง และประชาสัมพันธ์ให้งดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่ แม้ว่าสถานการณ์หมอกควันจะคลี่คลายและปริมาณฝุ่นละอองจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. ได้กำหนดให้หน่วยทหารของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 13 หน่วย รวม 208 ชุดปฏิบัติการ ลาดตระเวนป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 พฤษภาคม 2568 ครอบคลุมพื้นที่ควบคุมไฟป่า 14 กลุ่มป่า รวมกว่า 44,708,436 ไร่ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การจัดชุดปฏิบัติการลาดตระเวนป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ยังสามารถปรับกำลังการปฏิบัติงานตามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมายควบคุมพิเศษ พื้นที่รอยต่อลุ่มน้ำ และรอยต่อระหว่างจังหวัด

ขณะที่ในช่วงบ่ายของเมื่อวาน เฮลิคอปเตอร์ MI-17 ของกองทัพบก (กองทัพภาคที่ 3) ได้บินลาดตระเวนและดับไฟป่าบริเวณอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยปฏิบัติการดับไฟรวม 6 เที่ยวบิน ใช้น้ำดับไฟรวม 21,000 ลิตร

สมโภชเชียงใหม่ 729 ปี ณ ลานสามกษัตริย์: พิธีบวงสรวงบูรพมหากษัตริย์แห่งล้านนาและสยาม

เนื่องในโอกาสอันสำคัญยิ่งของการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 729 ปีแห่งการก่อตั้งเมืองเชียงใหม่ หัวใจแห่งอาณาจักรล้านนา มูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ กำหนดจัดพิธีบวงสรวงบูรพมหากษัตริย์ล้านนา และพระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อแผ่นดิน ณ ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นศูนย์รวมใจของชาวเชียงใหม่ พิธีสำคัญนี้จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 19 เมษายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป

ในวาระดิถีอันเป็นมงคลของการสมโภชเมืองเชียงใหม่ 729 ปี มูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ในฐานะผู้ประสานงานหลัก ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ จัดพิธีบวงสรวงอันศักดิ์สิทธิ์ ณ ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เพื่อแสดงความเคารพสักการะและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของบูรพมหากษัตริย์แห่งล้านนา ได้แก่ พญามังราย พญางำเมือง และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้ทรงร่วมกันสถาปนาและสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับเมืองเชียงใหม่ รวมถึงพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่ทรงปกป้องรักษาและส่งเสริมความผาสุกของประเทศชาติ

พิธีบวงสรวงครั้งนี้จะมีการจัดเตรียมเครื่องสักการะอันวิจิตรบรรจงกว่า 100 รายการ ทั้งอาหารคาวหวาน ผลไม้นานาชนิด และบายศรีโบราณอันทรงคุณค่า ซึ่งถูกจัดตกแต่งอย่างประณีตงดงาม เพื่อน้อมถวายเป็นราชสักการะแด่บูรพกษัตริย์ผู้ทรงคุณูปการ ผู้ทรงนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญก้าวหน้าแก่ชาวเชียงใหม่และชาวไทยโดยรวม การจัดพิธี ณ ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือและความเป็นปึกแผ่นของบรรพกษัตริย์ จะยิ่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญให้กับงานสมโภชในครั้งนี้

ชลประทานเชียงใหม่เฝ้าระวังน้ำปิง หลังพายุฤดูร้อนซัด ร้านแพริมน้ำเสียหาย

สถานการณ์น้ำในแม่น้ำปิงเพิ่มสูงขึ้นหลังพายุฤดูร้อนในจังหวัดเชียงใหม่ โครงการชลประทานเชียงใหม่เร่งติดตามและเฝ้าระวังผลกระทบ ขณะที่ร้านอาหารแพริมน้ำบางส่วนได้รับความเสียหาย แต่ยังคงเปิดให้บริการบนฝั่ง

จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องในจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักและสาขาเพิ่มสูงขึ้น นายเกื้อกูล มานะสัมพันธ์สกุล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงใหม่ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามและสำรวจผลกระทบอย่างใกล้ชิด โดยรายงานระบุว่า ระดับน้ำในแม่น้ำต่างๆ เช่น แม่น้ำแตง แม่น้ำริม แม่น้ำงัด แม่น้ำวาง แม่น้ำขาน แม่น้ำกลาง และแม่น้ำฝาง ยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีภาวะน้ำเอ่อล้นตลิ่ง รวมถึงประตูระบายน้ำและฝายต่างๆ ยังสามารถใช้งานได้ดี

อย่างไรก็ตาม บริเวณโม่งทรายบีช อำเภอแม่ริม ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหารแพริมน้ำ ได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ทำให้แพของร้านค้าจำนวนมากได้รับความเสียหาย แม้ว่าร้านอาหารจะยังคงเปิดให้บริการ แต่ต้องจำกัดพื้นที่ให้ลูกค้าอยู่บนฝั่งเพื่อความปลอดภัย โครงการชลประทานเชียงใหม่ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและบริหารจัดการน้ำตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อพื้นที่ลุ่มต่ำ

จอมทองชู “แห่ไม้ค้ำโพธิ์” ซอฟต์พาวเวอร์ดึงนักท่องเที่ยว หลังยูเนสโกยกย่องสงกรานต์ไทย

อำเภอจอมทอง เตรียมยกระดับประเพณี “แห่ไม้ค้ำโพธิ์” อันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลก จัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์สำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเยือน หลังองค์การยูเนสโกประกาศให้ “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายสุรพล เกียรติไชยากร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมเป็นประธานเปิดงานประเพณีแห่ไม้ถ้ำโพธิ์ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้มีขบวนแห่จากทั้งภาครัฐและเอกชนรวม 23 ขบวน ตกแต่งอย่างสวยงามตามแบบโบราณ สอดแทรกวิถีชีวิตและวัฒนธรรมล้านนา ผู้ร่วมขบวนต่างแต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง แห่จากหน้าห้างเทสโก้โลตัส ไปยังวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร

นายสุรพล เกียรติไชยากร กล่าวว่า ประเพณีสงกรานต์เป็นมรดกเก่าแก่ของไทย โดยทางเหนือเรียกว่า “ปี๋ใหม่เมือง” และอำเภอจอมทองมีประเพณีแห่ไม้ถ้ำโพธิ์ที่สืบทอดมานานกว่า 500 ปี ถือเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งเป็นต้นแบบของการแห่ไม้ค้ำสะหลีที่แพร่หลายในล้านนา การจัดงานในปีนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน เพื่อยกระดับให้เป็นประเพณีระดับโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยว

ในวันแห่ ชาวจอมทองที่ไปอยู่ต่างถิ่นจะกลับบ้านมารดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ และร่วมกันแห่ไม้ค้ำสะหลีมายังวัด เพื่อนำไม้ง่ามค้ำต้นโพธิ์ อันเป็นการแสดงออกถึงการค้ำชูพระพุทธศาสนา และเชื่อว่าจะช่วยคุ้มครองดวงชะตาให้เจริญรุ่งเรือง

สำหรับปีนี้ งานแห่ไม้ค้ำโพธิ์จอมทองจัดขึ้น 2 วัน โดยวันที่ 13 เมษายน 2568 เป็นการจัดงานเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิม และวันที่ 15 เมษายน 2568 เป็นขบวนแห่ที่จัดโดยกลุ่มหนุ่มสาวในอำเภอ พร้อมมหกรรมเครื่องเสียงสุดอลังการ รวมทั้งสิ้น 23 ขบวน แห่ในช่วงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืน

มูลนิธิอาจารย์วารินทร์ฯ บวงสรวงใหญ่ บูรพกษัตริย์ล้านนา ในงานสมโภชเชียงใหม่ 729 ปี

ประธานมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ/มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา เตรียมจัดพิธีบูชาบวงสรวงบูรพมหากษัตริย์ล้านนา ในงานสมโภชเชียงใหม่ 729 ปี

เชียงใหม่: วันที่ 13 เมษายน 2568 เวลา 09.30 น. อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ประธานมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ และประธานมูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา เปิดเผยว่า ในโอกาสที่จังหวัดเชียงใหม่จัดงานพิธีสมโภชเชียงใหม่ครบรอบ 729 ปี ในวันเสาร์ที่ 19 เมษายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ทางมูลนิธิฯ ได้รับเกียรติเป็นประธานในการประกอบพิธีบูชาบวงสรวงอันศักดิ์สิทธิ์

พิธีดังกล่าวจะประกอบไปด้วยการบูชาบวงสรวงองค์บูรพมหากษัตริย์ล้านนาไทยทุกพระองค์ พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ตลอดจนทวยเทพเทวา 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน และบูชาเสื้อบ้านเสื้อเมืองที่ปกปักรักษาเมืองเชียงใหม่และประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนชาวเชียงใหม่และชาวไทยมีความสุข สงบ ร่มเย็น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

อาจารย์วารินทร์ กล่าวว่า พิธีบวงสรวงครั้งนี้ มูลนิธิฯ ร่วมกับคุณภีชญา กริ่มวงศ์รัตน์ และคณะศิษยานุศิษย์ เป็นเจ้าภาพจัดงานให้ยิ่งใหญ่ สมบูรณ์แบบ และถูกต้องตามจารีตประเพณีโบราณ เพื่อเป็นการตอบแทนและถวายความเคารพแด่บูรพกษัตริย์แห่งราชวงศ์ล้านนาไทย โดยใช้งบประมาณส่วนตัวจำนวน 600,000 บาท

นอกจากนี้ อาจารย์วารินทร์ ยังกล่าวถึงงบประมาณที่ทางราชการมอบให้มูลนิธิฯ จำนวน 50,000 บาท ว่าจะนำไปจัดเป็นกองผ้าป่าถวายแด่วัดอินทขิล (สะดือเมือง) ในวันเสาร์ที่ 19 เมษายน 2568 เพื่อเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนา พร้อมกันนี้ จะมีการแจกทานแก่ผู้ยากไร้จำนวน 500 คน เป็นข้าวสาร ยารักษาโรค และทุนทรัพย์ รวมมูลค่า 200,000 บาท ซึ่งเป็นงบประมาณของมูลนิธิฯ และคณะศิษยานุศิษย์ เพื่อเป็นการทำบุญใหญ่ในโอกาสครบรอบ 729 ปีเมืองเชียงใหม่

ประธานมูลนิธิฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า การทำบุญครั้งนี้จะเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มีหน้าที่บริหารบ้านเมือง และคณะศิษยานุศิษย์หลวงปู่เฒ่าเกวาลันแห่งเทือกเขาหิมาลัยที่จะมาร่วมอนุโมทนา โดยอานิสงส์จะส่งผลให้ทุกท่านมีอายุมั่นขวัญยืน ปราศจากโรคภัย และมีความสุขในชีวิต

ชลประทานลำพูน ส่งน้ำวันละ 86,400 ลบ.ม. หนุนปี๋ใหม่เมืองหละปูน

ลำพูนพร้อมรับ “ปี๋ใหม่เมือง” อย่างชุ่มฉ่ำ! ชลประทานลำพูนเร่งส่งน้ำวันละกว่า 8 หมื่นลูกบาศก์เมตร เสริมลำน้ำกวงหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัยให้มีน้ำตลอดเทศกาลสงกรานต์ โดยยืนยันไม่กระทบพื้นที่เกษตรแต่อย่างใด

ลำพูน – โครงการชลประทานลำพูน สนับสนุนเทศกาลสงกรานต์ (ปี๋ใหม่เมืองหละปูน) ปี 2568 โดยเพิ่มปริมาณน้ำในลำน้ำกวง บริเวณหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัย วันละ 86,400 ลูกบาศก์เมตร ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ถึง 16 เมษายน 2568

นายสุภรณ์วัฒน์ สุรการ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานลำพูน มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องหารือแนวทางการผันน้ำและบำบัดน้ำในพื้นที่อำเภอเมืองลำพูน เพื่อสนับสนุนการจัดงานปี๋ใหม่เมือง โดยมีการส่งน้ำจากเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ผ่านลำน้ำปิงและคลองส่งน้ำต่างๆ จนถึงลำน้ำกวงบริเวณวัดศรีบุญยืน และฝายวังตอง

โครงการชลประทานลำพูน ยืนยันว่า การสนับสนุนน้ำดังกล่าวเป็นไปตามการมอบหมายของผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน และดำเนินการในช่วงรอบเวรการใช้น้ำของเกษตรกรในพื้นที่ฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 1 โดยปริมาณน้ำที่ส่งมาจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรแต่อย่างใด

สั่งรื้อสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำคลองส่งน้ำแม่กวงฯ หวั่นกีดขวางการส่งน้ำ

โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่กวงอุดมธารา สั่งการให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำคลองส่งน้ำสายใหญ่ผาแตก บริเวณหลังที่ว่าการอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ หลังพบการก่อสร้างที่นั่งไม้ไผ่โดยไม่ได้รับอนุญาต หวั่นกระทบต่อการไหลเวียนของน้ำเพื่อการเกษตร และอาจมีการแสวงหาผลประโยชน์จากที่ราชพัสดุ

เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่กวงอุดมธารา รายงานผลการลงพื้นที่ติดตามการส่งน้ำในพื้นที่ฝ่ายส่งน้ำฯ ที่ 1 – 4 พบว่ามีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในคลองส่งน้ำสายใหญ่ผาแตก บริเวณ กม. 6+995 ตำบลดอยสะเก็ด อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โดยนายทวีศักดิ์ ภิรมย์ หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 2 ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและยืนยันว่ามีการสร้างที่นั่งไม้ไผ่เป็นแนวยาวในคลองส่งน้ำจริง

ทางโครงการฯ ระบุว่า การก่อสร้างใดๆ ในลำคลองจะส่งผลกระทบต่อการไหลของน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการส่งน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งขณะนี้อยู่ในรอบเวรการส่งน้ำ รอบที่ 9 ระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2568 ทางฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 2 จึงได้แจ้งเตือนให้ผู้บุกรุกดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายวัสดุออกจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นเขตที่ราชพัสดุ เพื่อให้คลองกลับสู่สภาพปกติ

โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่กวงอุดมธารา ชี้แจงว่า การดำเนินการใดๆ ในพื้นที่คลองส่งน้ำจะต้องมีการขออนุญาตใช้พื้นที่จากสำนักงานธนารักษ์พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และห้ามมิให้มีการแสวงหาผลประโยชน์จากที่ราชพัสดุ อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วไปยังคงสามารถลงเล่นน้ำในคลองได้ตามปกติ แต่ไม่อนุญาตให้มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในเขตพื้นที่ราชพัสดุ

ล่าสุด มีรายงานว่า ในวันนี้ (11 เม.ย.68) ที่นั่งไม้ไผ่ทั้งหมดที่สร้างรุกล้ำในคลองส่งน้ำสายใหญ่ผาแตก ได้ถูกรื้อถอนออกไปเรียบร้อยแล้ว