“แม่กวงฯ เปิดท้ายเขื่อนรับสงกรานต์ เล่นน้ำคลายร้อน 11-17 เม.ย.”

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่กวงอุดมธารา จะทำการเปิดท้ายเขื่อนให้ประชาชนได้เดินทางไปเล่นน้ำคลายร้อนกัน ในระหว่างวันที่11-17 เมษายนนี้ โดยทางด้าน นายเฉลิมเกียรติ ได้เน้นย้ำถึงผู้ประกอบการร้านค้า ที่จะมาทำการค้าขายบริเวณริมน้ำนั้น จะต้องตั้งขายในพื้นที่ที่กำหนดให้เท่านั้น และจะต้องช่วยกันดูแลรักษาความสะอาด โดยการคัดแยกขยะที่เกิดขึ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของทางเทศบาลเข้ามาดำเนินการได้อย่างสะดวก ทั้งนี้ยังมีการยืนยันอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีการเรียกเก็บเงินใดๆทั้งสิ้น กับผู้ประกอบการร้านค้า ส่วนทางด้านผู้ประกอบการร้านค้านั้น ต่างพร้อมใจกันที่จะร่วมมือในมาตรการดังกล่าว

นายเฉลิมเกียรติ อินกนก ผู้อำนวยการ ผคบ.แม่กวงฯ กล่าวว่า โครงการฯ อนุญาตให้ประชาชนมาเล่นน้ำเพื่อพักผ่อนคลายร้อนและสืบสานประเพณีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้ตามปกติ แต่ไม่อนุญาตให้ผู้ค้านำสินค้าลงไปจำหน่ายในพื้นที่ด้านล่าง เนื่องจากปัญหาด้านพื้นที่ การรักษาความสะอาด และความปลอดภัย

“โครงการฯ ได้ประสานงานกับสถานีตำรวจภูธรสันทรายและสถานีตำรวจภูธรดอยสะเก็ด รวมถึงเทศบาลตำบลหนองแหย่ง เทศบาลตำบลลวงเหนือ และอำเภอดอยสะเก็ด เพื่อให้เข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ประชาชนที่มาใช้พื้นที่ท้ายเขื่อนแม่กวงอุดมธารา โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์” นายเฉลิมเกียรติฯ กล่าว

ผคบ.แม่กวงฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า รอบเวรการส่งน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคในรอบนี้เป็นรอบที่ 6 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 4 เมษายน 2568 และจะเริ่มรอบใหม่ในวันที่ 8 เมษายน 2568 โดยจะเริ่มส่งน้ำให้กับคลองบางซอยก่อน และจะเปิดส่งน้ำครบทุกคลองในวันที่ 11 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 08.00 น. และจะปิดการส่งน้ำในวันที่ 17 เมษายน 2568

นายเฉลิมเกียรติ อินกนก ผคบ.แม่กวงฯ กล่าวอีกว่า รอบเวรการส่งน้ำจะเหลืออีกเพียง 1 รอบ หลังจากช่วงเทศกาลสงกรานต์สิ้นสุดในวันที่ 17 เมษายน โดยจะส่งน้ำในช่วงวันที่ 24-30 เมษายน 2568 และจะสิ้นสุดการส่งน้ำสำหรับฤดูแล้งปี 2568 อย่างไรก็ตาม โครงการฯ จะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการส่งน้ำและเกษตรกรกลุ่มผู้ใช้น้ำสำรวจพื้นที่อีกครั้ง หากมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มเติม เพื่อป้องกันความเสียหายของพืชผลทางการเกษตร

ด้านนายสุนทร ใสญาสน์ ผู้ค้าในพื้นที่หมู่ 10 ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ให้ข้อมูลแก่ผู้สื่อข่าวว่า ผู้ค้าจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง โดยฝั่งตำบลลวงเหนือมีร้านค้าประมาณ 45 ร้าน และฝั่งตำบลหนองแหย่งมีร้านค้าประมาณ 30 ร้าน ผู้ค้าแต่ละฝั่งจะดูแลความสะอาดในพื้นที่ของตนเอง และร่วมกันดูแลความสะอาดบริเวณริมน้ำ

จากการสำรวจพื้นที่ พบว่าแผงค้าและบริเวณที่ประชาชนมาเล่นน้ำเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ โดยผู้ค้าให้ความร่วมมือในการดูแลความสะอาด อย่างไรก็ตาม มีผู้ค้าบางรายในพื้นที่ตำบลหนองแหย่งเรียกเก็บค่าจัดการขยะ ซึ่งนายเฉลิมเกียรติ อินกนก ผคบ.แม่กวงฯ ได้เดินแจ้งให้ผู้ค้าทราบว่าไม่มีการเรียกเก็บเงินใดๆ ทั้งสิ้น และขอความร่วมมือให้ผู้ค้าร่วมกันดูแลความสะอาด โดยแยกขยะเปียกนำกลับไป และให้เทศบาลจัดเก็บขยะแห้ง

เชิญชวนร่วมงาน “วิ่ง-เดินขึ้นดอยตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย” รำลึก 90 ปี เปิดถนนสู่วัดพระธาตุดอยสุเทพ

เตรียมจัดกิจกรรม “วิ่ง-เดินขึ้นดอยตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย” เนื่องในโอกาสครบรอบ 90 ปี การเปิดถนนขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยสุเทพ โดยครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีและสืบสานตำนานอันเป็นสิริมงคล ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้สัมผัสเส้นทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติอันงดงาม พร้อมทั้งร่วมทำบุญเสริมสิริมงคลในวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 06.00 น. ณ อนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย จังหวัดเชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ – วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ร่วมกับชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพนครพิงค์เชียงใหม่ ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมงาน “วิ่ง-เดินขึ้นดอยตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย” ในวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568 เวลา 06:00 น. ณ อนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ 90 ปี ที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยได้สร้างถนนขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยสุเทพ

กิจกรรมครั้งนี้มีระยะทาง 11 กิโลเมตร โดยผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสกับบรรยากาศอันงดงามของธรรมชาติและเส้นทางประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งร่วมทำบุญและรำลึกถึงคุณงามความดีของครูบาเจ้าศรีวิชัย

รายละเอียดการสมัคร:

ค่าสมัคร:

  • บัตร VIP ราคา 1,000 บาท (รับเสื้อ, เหรียญที่ระลึก, เหรียญครูบาศรีวิชัยกรอบทอง, และเหรียญครูบาศรีวิชัยทองแดง)
  • บัตรทั่วไป ราคา 300 บาท (รับเสื้อ, เหรียญที่ระลึก, และเหรียญครูบาศรีวิชัยทองแดง)
    • พิเศษ! นักวิ่งชายและหญิง 50 ท่านแรกที่วิ่งถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ จะได้รับเหรียญครูบาศรีวิชัยกรอบทอง

ช่องทางการชำระเงิน:

  • โอนเงินเข้าบัญชีเลขที่ 521-3-05991-0 ชื่อบัญชี พระณรงค์ สุวรรณ และ นายสมบุญ บุญปราบ ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนสุเทพ

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม:

ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอันเป็นสิริมงคลนี้ เพื่อสืบสานตำนานครูบาเจ้าศรีวิชัยและส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี

อมก๋อย! พายุลูกเห็บถล่มหนัก บ้านเรือน-หน่วยงานเสียหาย

สถานการณ์ความเสียหายจากเหตุการณ์พายุลูกเห็บถล่มอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ยังคงต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยล่าสุด ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 (มทบ.33) ได้เข้าให้การช่วยเหลือชาวบ้านในการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย

จากรายงานพบว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 14:30 น. เกิดเหตุพายุฝนฟ้าคะนองและลูกเห็บตกอย่างหนักในพื้นที่อำเภออมก๋อย ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนและหน่วยงานราชการได้รับความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะในตำบลอมก๋อยและตำบลยางเปียง

ความเสียหายที่เกิดขึ้นครอบคลุมบ้านเรือนประชาชนหลายสิบหลังคาเรือน รวมถึงบ้านพักข้าราชการและที่ว่าการอำเภออมก๋อย นอกจากนี้ ยังมีรายงานต้นไม้ล้มทับสายไฟฟ้า ทำให้ไฟฟ้าดับในพื้นที่

ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เวลา 17:00 น. ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 33 (ศบภ.มทบ.33) ได้ส่งกำลังพลจิตอาสาของหน่วยเข้าช่วยเหลือชาวบ้านในการเปลี่ยนหลังคาบ้านที่ได้รับความเสียหาย ในพื้นที่บ้านหลิม ตำบลอมก๋อย และบ้านหลวง ตำบลยางเปียง โดยได้รับการสนับสนุนกระเบื้องมุงหลังคาจากเทศบาลตำบลอมก๋อย การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

นายปรีชาพล พูลทวี นายอำเภออมก๋อย ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภออมก๋อย ได้ประสานงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหายหนัก

ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายกำลังเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป

ปฏิบัติการ “SEAL STOP SAFE” ผาเมืองสกัดจับยาบ้าล็อตใหญ่ 1.2 ล้านเม็ด

กองกำลังผาเมืองสนธิกำลังปฏิบัติการ “SEAL STOP SAFE” สกัดจับยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด ปะทะเดือดกลุ่มขบวนการค้ายา บริเวณชายแดนอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย หลังสืบทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้าประเทศ เจ้าหน้าที่ได้เข้าสกัดกั้นและเกิดการปะทะกับกลุ่มขบวนการค้ายา ซึ่งทิ้งยาเสพติดไว้ก่อนหลบหนี

เชียงราย – กองกำลังผาเมืองสนธิกำลังปฏิบัติการ “SEAL STOP SAFE” สกัดจับยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด ปะทะเดือดกลุ่มขบวนการค้ายา บริเวณชายแดนอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย หลังสืบทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้าประเทศ

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 เวลา 19.30 น. กองร้อยทหารม้าที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ได้จัดกำลังลาดตระเวนเฝ้าตรวจบริเวณบ้านจะลอ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย พบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยประมาณ 5-10 คน สะพายเป้ จึงแสดงตัวขอตรวจค้น แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้เกิดการปะทะกันประมาณ 10 นาที หลังสิ้นสุดการปะทะ กลุ่มขบวนการฯ ได้ทิ้งสิ่งของไว้และหลบหนีไป

ต่อมาในวันที่ 3 เมษายน 2568 เวลา 06.30 น. เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ พบเป้กระสอบดัดแปลง 6 กระสอบ บรรจุยาบ้ากระสอบละ 200,000 เม็ด รวมทั้งสิ้น 1.2 ล้านเม็ด จึงทำการตรวจยึดและนำส่งสถานีตำรวจภูธรแม่ฟ้าหลวงเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

พลตรี กิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง เปิดเผยว่า การปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปตามนโยบาย “SEAL STOP SAFE” ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มงวด โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2568) กองกำลังผาเมืองสามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้ 220 ครั้ง จับกุมผู้ต้องหา 240 คน ตรวจยึดยาบ้าได้กว่า 81 ล้านเม็ด เฮโรอีน 145 กิโลกรัม ไอซ์ 7,141 กิโลกรัม ฝิ่น 6.1 กิโลกรัม และคีตามีน 355 กิโลกรัม

“หากยาเสพติดจำนวนนี้เล็ดลอดเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ได้ จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 19,818 ล้านบาท” พลตรี กิดากรกล่าว กองกำลังผาเมืองยืนยันจะเดินหน้าปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยร้ายนี้

รวบแล้ว! หนุ่มใหญ่เผาป่าสงวนฯ แม่แตง สารภาพหวังยึดครองพื้นที่

เจ้าหน้าที่อำเภอแม่แตงสนธิกำลังจับกุมชายวัย 40 ปี ผู้ต้องหาบุกรุกและเผาป่าสงวนแห่งชาติ บริเวณบ้านต้นลุง จังหวัดเชียงใหม่ หลังรับสารภาพหวังยึดครองพื้นที่ป่าสงวนเพื่อเข้าทำประโยชน์ ตรวจยึดคืนผืนป่าได้กว่า 13 ไร่ พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2568 เจ้าหน้าที่อำเภอแม่แตง นำโดยนายจักรพันธุ์ ทองอ่ำ นายอำเภอแม่แตง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายสุรพงษ์ฯ อายุ 40 ปี ชาวอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในข้อหาบุกรุกและเผาป่าสงวนแห่งชาติบริเวณบ้านต้นลุง ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2568 เจ้าหน้าที่ตรวจพบจุดความร้อนในพื้นที่การเกษตร ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติบริเวณบ้านต้นลุง เจ้าหน้าที่จึงได้สืบสวนและติดตาม จนสามารถจับกุมตัวนายสุรพงษ์ฯ ได้ในที่สุด

จากการสอบสวน นายสุรพงษ์ฯ ได้รับสารภาพว่า ตนได้บุกรุกที่ป่าและเผาป่าจริง เพื่อปรับพื้นที่เตรียมเข้าทำประโยชน์ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศ พบว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่เคยมีการทำกินหรือใช้ประโยชน์มาก่อน จึงได้ทำการตรวจยึดพื้นที่คืนได้ประมาณ 13 ไร่ และได้นำตัวผู้ต้องหาส่งสถานีตำรวจภูธรป่าแป๋ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ความสัมพันธ์ไทย-จีนแน่นแฟ้น กงสุลใหญ่จีนฯ เชียงใหม่ ชู “50 ปีแห่งมิตรภาพ” สู่ความร่วมมือรอบด้าน

กงสุลใหญ่จีนฯ เชียงใหม่ ย้ำความสัมพันธ์ไทย-จีนแน่นแฟ้น ชู “50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต” สู่ความร่วมมือรอบด้าน 中国驻清迈总领事重申密切泰中关系 以中泰建交50周年为契机推进全面合作 ในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน นายเฉินไห่ผิง กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ทั้งสองประเทศได้ใช้โอกาส “ปีทองแห่งมิตรภาพ” ในการสานต่อความร่วมมือในทุกมิติ โดยเฉพาะภายหลังการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งผู้นำทั้งสองได้มีฉันทามติร่วมกันในการผลักดันการสร้างประชาคมร่วมอนาคต พร้อมส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า โครงการรถไฟไทย-จีน ตลอดจนความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและความมั่นคง

ภายใต้แนวคิด “ไทย-จีน ร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ก้าวไปสู่อนาคตร่วมกัน” ปีนี้จะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองมากมาย ประกอบด้วยการแลกเปลี่ยนระดับสูง ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม เช่น การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากจีนมาประดิษฐานในไทย และการหารือฟื้นฟูโครงการอนุรักษ์และศึกษาวิจัยหมีแพนด้า รวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการค้า โดยจีนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 และเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรหลักของไทย ขณะที่ไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน

กงสุลใหญ่ฯ ระบุว่า เศรษฐกิจจีนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของโลก โดยในปี 2024 เศรษฐกิจจีนมีอัตราการเติบโตของ GDP ร้อยละ 5 หรือคิดเป็นมูลค่า 134.9 ล้านล้านหยวน ซึ่งมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวถึงร้อยละ 30 จีนยังคงเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจคุณภาพสูง โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตร้อยละ 5 ในปี 2025 จีนยึดมั่นในการพัฒนาคุณภาพสูงและการเปิดกว้างในระดับสูง กรอบความร่วมมือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” มีสมาชิกมากกว่า 3 ใน 4 ของประเทศทั่วโลก และองค์กรระหว่างประเทศอีกหลายสิบแห่งได้เข้าร่วมและส่งเสริมการเปิดกว้างทางการค้าและการลงทุน ผ่านความร่วมมือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ที่มีประเทศร่วมมือกว่า 170 ประเทศ

นอกจากนี้ นายเฉินไห่ผิงยังกล่าวถึงความสำเร็จของจีนในปีนี้ ทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยี DeepSeek และหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก รวมถึงความสำเร็จในด้านกีฬาและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของจีน พร้อมย้ำว่าจีนยังคงพัฒนาไปอย่างมั่นคง แม้สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศจะซับซ้อนขึ้นจากวิกฤตความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การก่อการร้าย และลัทธิต่างๆ แต่จีนยังคงมุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพสูง โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้มองไปยังแนวโน้มของประวัติศาสตร์และสถานการณ์โลก พร้อมเสนอแนวคิด “ประชาคมร่วมอนาคตของมนุษยชาติ” เพื่อสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ ก้าวข้ามความแตกต่างและข้อขัดแย้ง ร่วมกันปกป้องโลกที่เป็นบ้านเพียงหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ และสร้าง “โลกที่เป็นหนึ่งเดียวกัน” ที่ทุกประเทศสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

สำหรับความร่วมมือไทย-จีนในระดับท้องถิ่น กงสุลใหญ่ฯ กล่าวว่า สถานกงสุลฯ เชียงใหม่สนับสนุนความร่วมมือไทย-จีนในภาคเหนืออย่างแข็งขัน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม เช่น การบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การจัดสัมมนาระหว่างประเทศเรื่องหมอกควัน และการส่งเสริมการส่งออกผลไม้ไทยไปยังตลาดจีนมากขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกง ซึ่งจีนชื่นชมความร่วมมือของไทยในการแก้ไขปัญหา

กงสุลใหญ่ฯ กล่าวว่าตนมีความทรงจำดีๆ มากมายกับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติในพื้นที่ภาคเหนือ และเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ไทย-จีนจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นผ่านการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือในทุกด้าน เพื่อสร้างอนาคตร่วมกันที่ยั่งยืน

นักธรณีวิทยาลงพื้นที่สำรวจน้ำตกห้วยหก หลังแผ่นดินไหวเกิดตาน้ำผุด

นักธรณีวิทยาลงพื้นที่สำรวจน้ำตกห้วยหก บ้านดอยเวียง ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน หลังเกิดแผ่นดินไหวและพบตาน้ำผุดในช่วงฤดูแล้ง นักธรณีวิทยาได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า น้ำที่ไหลอยู่นี้อาจมีสาเหตุจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยน้ำอาจไหลต่อเนื่องหรือไหลเพียงชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ไม่ควรนำน้ำดังกล่าวไปบริโภค เนื่องจากต้องมีการเก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจสอบเพื่อวิเคราะห์สารปนเปื้อนและโลหะหนักในห้องปฏิบัติการ

จากกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอของเจ้าหน้าที่เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตำบลบ้านธิ ที่พบน้ำไหลในลำห้วยที่แห้งแล้งมานาน ซึ่งหลังจากเกิดแผ่นดินไหว น้ำในลำห้วยกลับมาไหลอีกครั้งแม้ไม่มีฝนตก สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่ถ่ายคลิปเป็นอย่างมาก ในคลิปวิดีโอจะเห็นน้ำจำนวนมากไหลตามลำห้วยท่ามกลางใบไม้แห้ง จากการสอบถามเบื้องต้น พบว่าจุดที่ปรากฏในคลิปอยู่บนเขาแม่ธิ ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ บริเวณห้วยหก บ้านดอยเวียง ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาหลังอ่างเก็บน้ำแม่ธิ และขณะนี้พื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้คำสั่งปิดป่า อนุญาตให้เฉพาะเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เข้าไปได้

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ประจำจุดเฝ้าระวังไฟป่าที่ มค.22 (ดอยเวียง) ร่วมกับเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตำบลบ้านธิ ได้นำนางสาวศิริพร กันธิยะ นายอำเภอบ้านธิ นายกันย์ จำนงค์ภักดี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ และนางสาวจันทนี ดวงคำสวัสดิ์ นักธรณีวิทยาชำนาญการ สำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 1 กรมทรัพยากรธรณี ลงพื้นที่สำรวจแหล่งที่มาของน้ำที่ไหลในฤดูแล้งบริเวณน้ำตกห้วยหก ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้

จากการสำรวจพื้นที่บริเวณห้วยหก ซึ่งมีสองฝั่ง พบว่าฝั่งขวาเป็นบริเวณที่น้ำไหลและเกิดเป็นน้ำตกห้วยหก ซึ่งมี 3 ชั้นและมีแอ่งน้ำขนาดเล็กบริเวณด้านล่าง จากการสำรวจบริเวณเหนือขึ้นไปของน้ำตกห้วยหก พบร่องรอยตาน้ำหรือน้ำซับที่ไหลในช่วงฤดูฝนและหยุดไหลในช่วงฤดูแล้ง แต่ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว น้ำกลับไหลออกมามากกว่าปกติและไหลในฤดูแล้ง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในระยะ 60 ปี สภาพโดยรอบตาน้ำเป็นผาหินปกคลุมด้วยป่าเบญจพรรณและไม้ไผ่ พบตาน้ำทั้งหมด 4 จุด โดยมีการบันทึกพิกัดและความสูงดังนี้ จุดที่ 1 ความสูง 642 เมตร จุดที่ 2 ความสูง 605 เมตร จุดที่ 3 ความสูง 581 เมตร จุดที่ 4 ความสูง 546 เมตร เทือกเขานี้เป็นสันปันน้ำเขตติดต่ออำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน โดยมีความสูงที่ยอดดอยประมาณ 869 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งจะมีการประสานงานไปยังชุมชนฝั่งแม่ออนเพื่อตรวจสอบผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว

บริเวณท้ายน้ำของน้ำตกห้วยหกเป็นที่ตั้งของอ่างเก็บน้ำแม่ธิ ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำตามโครงการพระราชดำริฯ ในพื้นที่บ้านดอยเวียง ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน เบื้องต้นนักธรณีวิทยาให้ข้อมูลว่า น้ำที่ไหลอยู่นี้อาจมีสาเหตุจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยน้ำอาจไหลต่อเนื่องหรือไหลเพียงชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ไม่ควรนำน้ำไปบริโภค เนื่องจากต้องมีการเก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจสอบเพื่อวิเคราะห์สารปนเปื้อนและโลหะหนักในห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้ บริเวณตาน้ำยังมีกลิ่นคล้ายกำมะถันและมีสีแดง เมื่อไหลผ่านลำห้วยซึ่งเป็นทรายจึงดูใส ซึ่งหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่เก็บข้อมูลด้านกายภาพและธรณีวิทยาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ยังไม่แนะนำให้เข้าเยี่ยมชมน้ำตกดังกล่าว เนื่องจากยังอยู่ในช่วงป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในอากาศ ประกอบกับมีการปิดป่าจนถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ชุมชนและอุทยานฯ ได้ควบคุมการเข้าออกป่าอย่างเข้มงวด สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ทางสื่อออนไลน์ของอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ และรอข้อมูลที่ชัดเจนจากนักธรณีวิทยาต่อไป

“ฮือฮา! น้ำลำห้วยไหลผิดปกติกลางฤดูแล้ง เชื่อมโยงแผ่นดินไหวเมียนมา”

เกิดปรากฏการณ์ประหลาด น้ำไหลในลำห้วยอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ ช่วงฤดูแล้ง ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบหลายสิบปี สันนิษฐานอาจเกิดจากแผ่นดินไหวเมียนมา เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบ

เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568 อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ได้รายงานสถานการณ์น้ำไหลผิดปกติในลำห้วยช่วงฤดูแล้ง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อออนไลน์และประชาชน

จากการตรวจสอบเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ประจำจุดเฝ้าระวังไฟป่าและอาสาสมัครพิทักษ์อุทยานแห่งชาติฯ พบว่า ณ จุดพักแรมชั่วคราวริมลำห้วยน้ำตกห้วยหก ในพื้นที่ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ ปรากฏว่ามีน้ำไหลในลำห้วย ทั้งที่โดยปกติแล้วลำห้วยดังกล่าวจะแห้งแล้งในช่วงฤดูแล้ง (ธันวาคม-พฤษภาคม) และจะมีน้ำไหลเฉพาะช่วงฤดูน้ำหลากเท่านั้น เบื้องต้น สันนิษฐานว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568

อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าสำรวจพื้นที่อย่างเร่งด่วน เพื่อตรวจสอบสภาพทางกายภาพ ตำแหน่งที่ตั้ง และบันทึกภาพถ่ายของแหล่งน้ำที่ไหลออกมา เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและประเมินความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นภูเขาสูงชันและหุบเขา ทีมสำรวจยังคงอยู่ในระหว่างการปฏิบัติงาน หากมีความคืบหน้าประการใด จะรายงานให้ทราบต่อไป

ขณะนี้ยังคงเป็นช่วงฤดูไฟป่า ซึ่งอุทยานฯ และชุมชนได้ร่วมมือกันป้องกันไฟป่าในพื้นที่มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว การอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปในพื้นที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าได้ ดังนั้น จึงควรควบคุมการเข้า-ออกพื้นที่บริเวณนี้อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการแอบแฝง และจะประสานงานกับนักธรณีวิทยาเพื่อเข้าตรวจสอบอีกครั้ง

กันย์ จำนงค์ภักดี
หน.อช.มค.
รายงาน

เหนือวิกฤต PM2.5: เชียงรายอ่วมสุด ค่าฝุ่นพุ่งเกินมาตรฐานต่อเนื่อง สสภ.1 เร่งรับมือ

สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในภาคเหนือยังคงอยู่ในขั้นวิกฤต โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายที่เผชิญกับค่าฝุ่นเกินมาตรฐานต่อเนื่องยาวนานที่สุดในภูมิภาค ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชนและสร้างความกังวลให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ขณะที่หน่วยงานภาครัฐเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ประชาชนในพื้นที่ยังคงต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้ายและผลกระทบต่อสุขภาพที่ตามมา

สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในภาคเหนือยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายที่พบค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานต่อเนื่องยาวนานที่สุดในภูมิภาค จากรายงานของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สสภ.1) ณ วันที่ 2 เมษายน 2568 พบว่าเชียงรายมีจำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานแล้วถึง 58 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา

ค่าฝุ่นพุ่งสูง กระทบสุขภาพ ข้อมูลค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ณ เวลา 09.00 น. ระบุว่าหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายมีค่า PM2.5 พุ่งสูงเกินระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะที่ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ ซึ่งวัดค่าได้สูงถึง 124.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่จังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือก็เผชิญปัญหาไม่แพ้กัน โดยลำพูนมีจำนวนวันที่เกินมาตรฐาน 52 วัน เชียงใหม่ 42 วัน และแม่ฮ่องสอน 32 วัน

จุดความร้อนและการกระจายตัว ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงจุดความร้อน (Hotspot) จำนวน 1,433 จุดทั่วประเทศ ชี้ให้เห็นถึงการเผาไหม้ในที่โล่งซึ่งเป็นแหล่งกำเนิด PM2.5 ที่สำคัญ นอกจากนี้ ทิศทางลมที่พัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ยังส่งผลต่อการกระจายตัวของฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือ

มาตรการรับมือสสภ.1 ได้เร่งดำเนินการมาตรการต่าง ๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ PM2.5 ที่เกิดขึ้น รวมถึงการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชน การควบคุมการเผาในที่โล่ง และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน

คำเตือนประชาชน ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือควรติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ PM2.5 อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ

เชียงใหม่ขับเคลื่อนโครงการ “ป่าจุลินทรีย์” ลดการเผา ป้องกันฝุ่น PM 2.5

ภาคเอกชนและนักวิชาการอิสระร่วมกันผลักดันโครงการ “ป่าจุลินทรีย์” ในพื้นที่ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อลดการเผาป่าและป้องกันปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) โดยนำชาวบ้านในพื้นที่ทำแนวกันไฟในป่าชุมชนกว่า 3,000 ไร่ เพื่อป้องกันไฟป่า และต่อยอดโครงการ “คืนสมดุลให้ป่าชุมชนด้วยจุลินทรีย์” เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้อย่างยั่งยืน ก่อนหน้านี้ ได้มีการอบรมตัวแทนชาวบ้านเกี่ยวกับการทำ EM จากจุลินทรีย์ และการเพาะเชื้อเห็ดป่าจากจุลินทรีย์ เพื่อนำไปหว่านฟื้นฟูสมดุลให้ป่า นอกจากนี้ ยังมีการฉีดพ่น EM น้ำเพื่อเร่งการย่อยสลายใบไม้ ลดเชื้อเพลิงในช่วงฤดูแล้ง

ณ สุสานบ้านป่าตึงน้อย หมู่ 1 ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ นางสาวจันทร์จิรา จำปาอิน ผู้ใหญ่บ้านบ้านป่าตึงน้อย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหาร มณฑลทหารบกที่ 33 (มทบ.33) และทหารจิตอาสา ชาวบ้าน เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลป่าป้อง และนายจิรศักดิ์ มีสัตว์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ กลุ่มบริษัท กัลฟ์ ได้ร่วมกันทำแนวกันไฟป่าและฟื้นฟูสมดุลป่าด้วยจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องที่นำองค์ความรู้ด้านฐานชีวภาพและจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพมาอบรมแก่ผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ตำบลป่าป้อง ซึ่งมีพื้นที่ป่าชุมชนกว่า 3,000 ไร่ เพื่อลดปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่น PM 2.5

นางสาวจันทร์จิรา จำปาอิน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านป่าตึงน้อย กล่าวว่า ชุมชนให้ความสำคัญกับโครงการนี้อย่างมาก เพราะป่าชุมชนเป็นแหล่งอาหาร ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้านมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ปัญหาไฟป่าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่มีใบไม้แห้งจำนวนมาก ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดไฟป่าและสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ด้วยเหตุนี้ ชุมชนจึงรวมกลุ่มกันเฝ้าระวังและป้องกันไฟป่า ทำแนวกันไฟเป็นประจำทุกปี อีกทั้งภาครัฐยังมีนโยบายลดการเผาป่าและป้องกันไฟป่าเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม จึงร่วมกันทำแนวกันไฟอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการโรงไฟฟ้าขยะฯ ของบริษัทเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี จำกัด (CMWTE) และกลุ่มบริษัท กัลฟ์ (GULF) นำพนักงานและประสานกองกำลังทหาร มทบ. 33 มาร่วมทำแนวกันไฟป่า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังนำองค์ความรู้ด้านฐานชีวภาพและจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพมาอบรมแก่ผู้นำชุมชนในโครงการ “คืนสมดุลให้ป่าด้วยจุลินทรีย์” และสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ชุมชน ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชุมชนมีความรู้เกี่ยวกับฐานชีวภาพและระบบนิเวศ สามารถเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ เพื่อนำมาช่วยย่อยสลายใบไม้จากการทำแนวกันไฟ ลดการเป็นเชื้อเพลิงไฟป่า และเพิ่มอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน ช่วยให้ดินมีชีวิตชีวา และเสริมสร้างการกระจายเชื้อจุลินทรีย์ในป่าที่เสื่อมโทรมจากการถูกไฟป่าหรือการตัดไม้ทำลายป่า นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมฟื้นฟูป่าด้วยเชื้อราไมคอร์ไรซา หรือเชื้อเห็ดป่า เพื่อปลูกป่าเพิ่มเติมและฟื้นฟูสมดุลป่าในระยะต่อไป ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยให้ชุมชนมีโอกาสอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนได้ดียิ่งขึ้น ชุมชนขอขอบคุณบริษัทฯ และทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุน ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนต่อไป สำหรับบ้านป่าตึงน้อยเป็น 1 ใน 4 หมู่บ้านในตำบลป่าป้อง ที่มีพื้นที่ป่า 670 ไร่ ในวันนี้ ได้ทำแนวกันไฟป่าประจำปี ระยะทาง 6 กิโลเมตร ในป่าชุมชนและพื้นที่ป่าคาร์บอนเครดิตรวม 5 แปลง ป่าชุมชนบ้านป่าตึงน้อยมีความสมบูรณ์ มีต้นพะยูง ไม้แดง ไม้สัก และต้นยางนา เป็นแหล่งอาหารของชาวบ้านทุกฤดูกาล มีทั้งไข่มดแดง ผักหวาน ผักกรูด แมงมัน ผักพ่อค้าตีเมีย เห็ดเผาะ เห็ดตับเต่า และเห็ดระโงก ชาวบ้านสามารถเข้ามาเก็บไปบริโภคได้ โดยเฉพาะในฤดูแล้งที่ไม่ต้องเผาป่า ก็มีผักหวานให้เก็บกิน

นายสมพงค์ เจริญศิริ กำนันตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า พื้นที่ป่าชุมชนบ้านทุ่งยาวมีพื้นที่ 2,307 ไร่ ชุมชนมีวิถีชีวิตที่อาศัยและพึ่งพาป่าชุมชนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ป่าไม้คือชีวิตของทุกคน ในช่วงที่ผ่านมา มีปัญหาการทำลายป่าและความเสื่อมโทรม จึงรวมกลุ่มกันอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งการทำแนวกันไฟป่าและการเฝ้าระวังการทำลายป่า จนสามารถขึ้นทะเบียนผืนป่าแห่งนี้เป็นป่าชุมชนที่ดูแลโดยชุมชนได้ตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน และอยู่ระหว่างการทำโครงการคาร์บอนเครดิต รวมถึงการทำแนวกันไฟป่าเป็นประจำทุกปี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และเอกชน ที่สำคัญคือการสนับสนุนจากบริษัทเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี จำกัด ที่นำองค์ความรู้ด้านฐานชีวภาพและจุลินทรีย์มาเสริมการดำเนินงานเชิงคุณภาพต่อระบบนิเวศ เพราะเดิมชุมชนมองเชิงกายภาพและปฏิบัติการบนพื้นดินเป็นหลัก ยังขาดความรู้เชิงชีวภาพ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของระบบนิเวศ ทำให้ชุมชนเข้าใจมิติการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าไม้และระบบนิเวศป่าไม้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาป่าชุมชนเชิงชีวนิเวศน์ที่ยั่งยืนต่อไป

นายจิรศักดิ์ มีสัตว์ ผู้อำนวยการบริหาร กลุ่มบริษัทกัลฟ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ตระหนักถึงการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และมีนโยบายร่วมกับชุมชนในการรักษาสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน ป่าชุมชนเป็นแหล่งทรัพยากรทางเศรษฐกิจ การอาชีพ และแหล่งอาหารที่สำคัญ บริษัทฯ จึงอาสาเข้ามาสนับสนุนชุมชน รวมถึงการประสานองค์ความรู้จากนักวิชาการและหน่วยงานต่างๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชุมชนให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน บริษัทฯ ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมชุมชน และยินดีสนับสนุนชุมชนต่อไป

ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน นักวิชาการอิสระ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ กลุ่มบริษัทกัลฟ์ กล่าวว่า กิจกรรมนี้เป็นโครงการเพื่อสังคม (CSR) เริ่มจากการทำแนวกันไฟป่าในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านทุ่งยาวและบ้านป่าตึงน้อย ซึ่งมีพื้นที่ป่าชุมชนรวมกันประมาณ 3,700 ไร่ และอยู่ในกระบวนการป่าคาร์บอนเครดิต ในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึง จะนำองค์ความรู้จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับเชื้อเห็ด “ไมคอร์ไรซา” ซึ่งเป็นเชื้อราที่มีความสำคัญต่อระบบเครือข่ายการเชื่อมโยงการเจริญเติบโตร่วมกันของรากพืชไม้ป่าและจุลินทรีย์ในดิน ช่วยการเจริญเติบโต สร้างภูมิคุ้มกันโรคพืช และสลายอินทรียวัตถุให้เป็นธาตุอาหารแก่พืช เชื้อราไมคอร์ไรซากับรากต้นไม้อาศัยอยู่ร่วมกันตลอดอายุขัยของพืช และเป็นต้นกำเนิดของเห็ดป่านานาชนิด เช่น เห็ดเผาะ เห็ดไคล เห็ดระโงก เห็ดตับเต่า และเห็ดโคนปลวก เป็นต้น ศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ได้วางแผนร่วมกับชุมชนในการนำเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซากลับคืนสู่ป่า เพาะเชื้อใส่ในกล้าไม้ปลูกเสริมในป่า และกระจายเชื้อเห็ดป่าสู่บริเวณรากต้นไม้ในป่า เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ในผืนป่าเสื่อมโทรม นอกจากนี้ จะนำเมล็ดพันธุ์กล้าไม้ป่ามาแช่จุลินทรีย์เพิ่มอัตราการงอก และนำมาปั้นกับก้อนดินจุลินทรีย์และเชื้อเห็ด เพื่อกระจายสู่ป่าในช่วงฤดูฝน และมีแผนนำเชื้อเห็ดป่าต่างๆ ให้ชุมชนเพาะในป่าใกล้ชุมชนและสวนไร่นา เพื่อเป็นแหล่งอาหารประเภทเห็ดในชุมชนทดแทนการเผาป่า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดไฟป่า แนวทางนี้จะช่วยลดปัญหาไฟป่าและผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ได้ ความสำคัญอยู่ที่ความรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยเฉพาะศูนย์เรียนรู้ฯ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาคีความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ จะช่วยเสริมพลังให้มากยิ่งขึ้น โครงการนี้เป็นอีกทางเลือกในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน อาศัยความร่วมมือและความมุ่งมั่นของชาวบ้านตำบลป่าป้อง ที่มีความตั้งใจป้องกันไฟป่ามาอย่างต่อเนื่อง และสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาครัฐ องค์กรท้องถิ่น ทหาร และภาคเอกชน เพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูป่าไม้ชุมชนและลดฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ป่าที่เสื่อมโทรมจากน้ำป่ากัดเซาะหรือไฟป่า ทำให้ป่าไม่เหมือนเดิม ต้นไม้ใหญ่ 1 ต้น มีเชื้อไมคอร์ไรซาขยายไปหลายกิโลเมตร หากต้นไม้ใหญ่ 1 ต้นตาย จะส่งผลเสียต่อต้นไม้อื่นๆ อีก 47 ต้น

ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำแนวกันไฟในพื้นที่ป่าชุมชนทั้งสองหมู่บ้าน เป็นกิจกรรมต่อยอดจากโครงการ “คืนสมดุลให้ป่าชุมชนด้วยจุลินทรีย์” เพื่อแก้ปัญหาไฟป่าและฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้อย่างยั่งยืน ก่อนหน้านี้ ได้อบรมตัวแทนชาวบ้านเกี่ยวกับจุลินทรีย์และความรู้ฐานชีวภาพ (Biobased) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของระบบนิเวศ ให้ชุมชนเข้าใจความสัมพันธ์ของวัฏจักรธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชน รวมถึงการใช้จุลินทรีย์เพื่อสิ่งแวดล้อม การเกษตร และการพัฒนาอาชีพ และอบรมการทำ EM จากจุลินทรีย์และการเพาะเชื้อเห็ดป่า เพื่อนำไปหว่านฟื้นฟูสมดุลป่าในป่าชุมชนบ้านทุ่งยาว นอกจากนี้ ยังมีการฉีดพ่น EM น้ำเพื่อเร่งการย่อยสลายซากพืช ลดเชื้อเพลิงในช่วงฤดูแล้ง และชาวบ้านได้ตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกเกิดจากภาวะเสียสมดุลของระบบนิเวศ จึงมีแนวคิดลดภาวะโลกร้อนและฟื้นฟูโลกด้วยระบบฐานชีวภาพ ซึ่งอธิบายการเสียสมดุลได้ดี จึงส่งเสริมยุทธศาสตร์นี้แก่ชุมชนในรูปแบบ “เมืองจุลินทรีย์” โดยนำองค์ความรู้ด้านจุลินทรีย์มาแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การเผาป่าเพื่อหาเห็ด หรือการเผาป่าเพื่อความสะดวกในการหาพืชพันธุ์ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ จุลินทรีย์เป็นกลไกวัฏจักรของระบบนิเวศที่จะเร่งการย่อยสลายเศษใบไม้และอินทรียวัตถุจากภาคการเกษตรและเศษอาหาร ให้กลายเป็นปุ๋ย EM และจุลินทรีย์ที่ใช้ในการฟื้นฟูป่า จุลินทรีย์เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของต้นไม้ ระบบนิเวศ และอุณหภูมิ ฟื้นฟูดินให้มีชีวิต เมื่อดินดี ต้นไม้และป่าก็มีชีวิตชีวา