กองกำลังผาเมืองรวบ 2 ผู้ต้องหา ยึดยาบ้ากว่าล้านเม็ด ปฏิบัติการ “SEAL STOP SAFE”

“ปฏิบัติการ ‘SEAL STOP SAFE’ กองกำลังผาเมืองสนธิกำลังรวบ 2 ผู้ต้องหารายสำคัญ ยึดยาบ้าล็อตใหญ่ 1,011,000 เม็ด มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 19 ล้านบาท จากการจับกุมที่อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568 ตอกย้ำความเข้มข้นของการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ”

เชียงราย – กองกำลังผาเมืองสนธิกำลังจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมยึดยาบ้า 1,011,000 เม็ด ในพื้นที่อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นับเป็นการปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติดตามนโยบาย “SEAL STOP SAFE” ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 08:30 น. ร้อยทหารพราน 3105 หน่วยเฉพาะกิจทหารพราน 31 ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดมาพักคอยบริเวณโรงแรมแสงคำรีสอร์ท บ้านปี้ หมู่ 7 ตำบลหงาว อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เพื่อเตรียมส่งต่อไปยังพื้นที่ตอนใน เจ้าหน้าที่จึงสนธิกำลังกับสถานีตำรวจภูธรอำเภอเทิงเข้าทำการสกัดกั้น

ผลการปฏิบัติงานสามารถจับกุมผู้ต้องหาชาย 1 คนและหญิง 1 คน พร้อมตรวจยึดรถยนต์ 2 คัน และยาบ้า 1,011,000 เม็ด โดยของกลางซุกซ่อนในกระสอบฟาง 3 กระสอบ และกล่องพัสดุบริษัทขนส่งเอกชน 4 กล่อง ซึ่งบรรจุรวมกับถุงข้าวสาร

จากการสรุปผลการสกัดกั้นยาเสพติดของกองกำลังผาเมือง พบว่าในห้วงตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ถึงปัจจุบัน สามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้ 219 ครั้ง จับกุมผู้ต้องหา 240 คน ตรวจยึดยาบ้า 79,981,526 เม็ด เฮโรอีน 145 กิโลกรัม ไอซ์ 7,141 กิโลกรัม ฝิ่น 6.1 กิโลกรัม และคีตามีน 355 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังมีการปะทะกับกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติด 32 ครั้ง ทำให้กลุ่มขบวนการเสียชีวิต 11 ราย

หากยาเสพติดที่ตรวจยึดได้ทั้งหมดถูกลำเลียงเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานคร จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าถึง 19,638,977,000 บาท

กองกำลังผาเมืองยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจ “SEAL STOP SAFE” อย่างต่อเนื่อง เพื่อปิดผนึกชายแดน หยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด และรักษาผู้ติดยาเสพติดให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

“เฮงเฮงแสนแสนล้าน” มอบถุงมือยาง 1.8 หมื่นชิ้น หนุนภารกิจตำรวจ-รพ.

บริษัท เฮงเฮงแสนแสนล้าน จำกัด ส่งมอบถุงมือยางทางการแพทย์ จำนวน 18,000 ชิ้น ให้แก่ตำรวจภูธรภาค 5 และโรงพยาบาลตำรวจแม่ริม จ.เชียงใหม่ เพื่อสนับสนุนภารกิจของเจ้าหน้าที่ในการดูแลประชาชน

วันที่ 1 เมษายน 2568 ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานในพิธีรับมอบถุงมือยาง จาก บริษัท เฮงเฮงแสนแสนล้าน จำกัด โดย นายภาคิน เฮงตระกูล นายธนันวัฒน์ เวียนทองธนโชติ นายภารุจ เลิศจิรานุวัฒน์ และนายกิตติศักดิ์ เวียนทองธนโชติ โดยมอบถุงมือยางทางการแพทย์ให้กับตำรวจภูธรภาค 5 และโรงพยาบาลตำรวจ จำนวน 18,000 ชิ้น เพื่อใช้ในกิจการ ภารกิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ภูธรภาค 5 และโรงพยาบาลตำรวจ

สำหรับ บริษัท เฮงเฮงแสนแสนล้าน จำกัด เป็นบริษัทที่ดำเนินโครงการพัฒนาเสื้อเกราะป้องกันกระสุน ระดับ Level 3A และระดับ Level 3 ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นไฟเบอร์ที่ผลิตจากกัญชง โดยมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ โดยฝีมือคนไทย (Made in Thailand) ส่งเสริมเกษตรกรเพิ่มมูลค่าให้ชุมชนได้ประโยชน์และได้มีส่วนร่วมในการผลิตกัญชงมาจำหน่ายแก่โครงการเพื่อแปรรูปเป็นไฟเบอร์อันเป็นส่วนประกอบหนึ่งของชุดเกราะ Matrix G Hemp series และสร้างการลงทุน การจ้างงาน การผลิตภายใน ก่อให้เกิดกระแสเงินไหลเวียนภายในประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐ

ทบ. เข้ม! ตรวจเยี่ยมภารกิจดับไฟป่าเหนือ ห่วงความปลอดภัยเฮลิคอปเตอร์ MI-17

วันที่ 31 มีนาคม 2568 พ.อ.ยอดยุทธ ฦาชา เสนาธิการศูนย์การบินทหารบก พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ณ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อขัดข้องในการปฏิบัติภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะการใช้อากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ MI-17 ซึ่งเป็นอากาศยานขนาดใหญ่ ที่ต้องอาศัยความระมัดระวังในการปฏิบัติภารกิจอย่างสูง

พ.อ.ยอดยุทธเน้นย้ำถึงความสำคัญของความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจ โดยเฉพาะการใช้เฮลิคอปเตอร์ MI-17 ซึ่งเป็นอากาศยานขนาดใหญ่ ที่ต้องพิจารณาปัจจัยด้านสภาพอากาศ ภูมิประเทศ และทัศนวิสัยอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ ยังกำชับให้นักบินวางแผนการบินอย่างรัดกุมและมีแผนสำรองอยู่เสมอ เนื่องจากภูมิประเทศภาคเหนือเป็นหุบเขา

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบปัญหาและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้อากาศยานในการดับไฟป่า เพื่อให้ภารกิจเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ก.พาณิชย์เร่งแทรกแซงราคาหอมหัวใหญ่ หลังเกษตรกรเชียงใหม่เผชิญวิกฤตราคาตกต่ำ

เกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ในอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตราคาผลผลิตตกต่ำอย่างหนัก หลังจากราคาหอมหัวใหญ่ร่วงลงมาเหลือเพียงกิโลกรัมละ 6 บาท จากที่เคยสูงถึง 13-15 บาทในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยว ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรอย่างมาก และเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งเข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

เชียงใหม่ – กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการแทรกแซงราคาหอมหัวใหญ่ หลังเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ในอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำอย่างหนัก เหลือเพียงกิโลกรัมละ 6 บาท จากต้นฤดูที่เคยสูงถึง 13-15 บาท

นายสุรพล เกียรติไชยากร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานงานไปยังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ประสานบริษัทมาตาเทรดดิ้ง เข้ารับซื้อหอมหัวใหญ่จากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 10 บาท ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และรับซื้อไปแล้วกว่า 6 พันตัน

สาเหตุของปัญหาราคาตกต่ำมาจากปีนี้ผลผลิตหอมหัวใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่มีปริมาณมากถึง 25,000 ตัน ประกอบกับมีการนำเข้าหอมหัวใหญ่จากต่างประเทศ ทำให้ผลผลิตในประเทศล้นตลาด

นายสุรพล เกียรติไชยากร กล่าวว่า “ปีนี้ผลผลิตหอมหัวใหญ่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ มีปริมาณมากถึง 25,000 ตัน ซึ่งพื้นที่อำเภอแม่วาง เป็นแหล่งปลูกหอมหัวใหญ่มากที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ แต่ละปีมีผลผลิตประมาณ 1 หมื่นตัน แต่ปัญหาคือเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ 1 ปอนด์ ที่เราปลูกได้ผลผลิตเพียง 5 พัน กก. ซึ่งเทียบกับต่างประเทศ 1 ปอนด์จะได้ผลผลิต 8-9 พัน กก. ประกอบกับช่วงเดือนมกราคม ซึ่งเป็นต้นฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิตราคาอยู่ที่ กก.13 บาท ขึ้นสูงถึง กก. 15 บาท หลังจากนั้นราคาตกอยู่ที่ 6-7 บาทต่อ กก.”

นอกจากมาตรการแทรกแซงราคาแล้ว นายสุรพลยังได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยขอให้รัฐบาลช่วยสกัดการนำเข้าหอมหัวใหญ่จากต่างประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาสายพันธุ์หอมหัวใหญ่ในประเทศให้มีประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้น เพื่อให้เกษตรกรสามารถแข่งขันในตลาดได้

ทั้งนี้ เกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ในอำเภอแม่วาง หวังว่ามาตรการแทรกแซงราคาของกระทรวงพาณิชย์ จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และรัฐบาลจะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในระยะยาว เพื่อให้เกษตรกรสามารถมีรายได้ที่มั่นคง

ปฏิบัติการ “SEAL STOP SAFE” ผาเมืองยึดยาบ้าล้านเม็ด สกัดชายแดนเชียงราย

ภายใต้นโยบาย “SEAL STOP SAFE” ของรัฐบาล กองกำลังผาเมืองสนธิกำลัง 51 อำเภอชายแดน ปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดอย่างเข้มข้นในพื้นที่ 4 จังหวัด 14 อำเภอชายแดน ล่าสุดสามารถจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมยึดยาบ้า 1 ล้านเม็ด บริเวณชายแดนอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นับเป็นผลงานสำคัญในการสกัดกั้นยาเสพติดไม่ให้แพร่ระบาดเข้าสู่พื้นที่ตอนใน

เชียงราย – ตามนโยบายรัฐบาลในการเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “SEAL STOP SAFE” ที่มุ่งเน้นการปิดผนึกชายแดน หยุดยั้งการแพร่ระบาด และรักษาผู้ติดยาเสพติดให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ กองกำลังผาเมืองได้สนธิกำลัง 51 อำเภอชายแดน ดำเนินการอย่างเข้มข้นในพื้นที่ 4 จังหวัด 14 อำเภอชายแดน

ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 22.00 น. กองร้อยทหารพรานที่ 3106 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 31 ได้ทำการตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด บริเวณเส้นทางบ้านกิ่วสะไต – บ้านอาดี่ ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย พบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยขับขี่รถจักรยานยนต์ 3 คัน ผ่านเข้ามายังจุดตรวจ แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ทิ้งรถและหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงไล่ติดตามจับกุมได้ 2 คน พร้อมรถจักรยานยนต์ 3 คัน และยาบ้า 1 ล้านเม็ด บรรจุในกระสอบดัดแปลง 6 กระสอบ

ในวันที่ 29 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น. พลตรี กิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ได้มอบหมายให้ พันเอก อนุวัช ปัญญานันท์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบของกลางยาเสพติด และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ก่อนนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งสถานีตำรวจภูธรแม่จัน ดำเนินคดีตามกฎหมาย

พลตรี กิดากร จันทรา ได้สั่งการให้หน่วยในพื้นที่เพิ่มความเข้มงวดในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงปัจจุบัน กองกำลังผาเมืองสามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้ 217 ครั้ง จับกุมผู้ต้องหา 237 คน ยึดยาบ้ากว่า 78 ล้านเม็ด เฮโรอีน 145 กิโลกรัม ไอซ์ 7,141 กิโลกรัม ฝิ่น 6.1 กิโลกรัม และคีตามีน 355 กิโลกรัม หากยาเสพติดเหล่านี้ถูกลำเลียงเข้าสู่กรุงเทพฯ จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 19,487 ล้านบาท

กองกำลังผาเมืองยังคงมุ่งมั่น “พิทักษ์อาณารักษาชายแดน” ภายใต้ปฏิบัติการ “SEAL STOP SAFE” เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

กรมป่าไม้ลงดาบ ริบคืน!! ที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) หลังพบประกาศขายโจ่งครึ่มผ่านโซเชียล

กรมป่าไม้ปฏิบัติการเด็ดขาด ยึดคืนที่ดินทำกินที่จัดสรรให้ชุมชน (คทช.) ในอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ หลังพบการประกาศขายที่ดินผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นการละเมิดเงื่อนไขของโครงการและขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ดินของรัฐ

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ร่วมกับฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนแม่กวง อำเภอดอยสะเก็ด หลังได้รับรายงานว่ามีการประกาศขายที่ดินที่จัดสรรภายใต้โครงการ คทช. ผ่านสื่อสังคมออนไลน์

ผลการตรวจสอบพบว่า ที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 4 บ้านโป่งกุ่ม ตำบลป่าเมี่ยง ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และมีลักษณะตรงกับภาพถ่ายที่ปรากฏในการประกาศขาย นอกจากนี้ ยังพบว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในขอบเขตของโครงการ คทช. ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามซื้อขายหรือเปลี่ยนมือ

นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ และขัดต่อวัตถุประสงค์ของโครงการ คทช. ซึ่งมุ่งหวังให้ผู้ยากไร้ได้มีที่ดินทำกินอย่างมั่นคง กรมป่าไม้จึงได้ดำเนินการตรวจยึดและดำเนินคดีตามกฎหมาย

อธิบดีกรมป่าไม้ยังได้เตือนประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ในที่ดิน คทช. ให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเคร่งครัด และระมัดระวังในการซื้อที่ดินที่อ้างว่าเป็นที่ดิน คทช. หรือที่ดินที่อยู่ระหว่างการรับรองสิทธิ์ เนื่องจากที่ดินเหล่านี้ไม่สามารถซื้อขายได้ หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

อบจ. เปิดสะพานลอยเเห่งใหม่ ลดอุบัติเหตุ-หนุนกิจกรรมวิ่งเทรลระดับโลก

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (อบจ.) จัดพิธีทำบุญเปิดสะพานลอยข้ามถนนแห่งใหม่ บริเวณหน้าสวนเฉลิมพระเกียรติ 82 พรรษา เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง และรองรับการแข่งขันวิ่งเทรลระดับโลก UTMB เชียงใหม่ ไทยแลนด์ ครั้งที่ 4

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีทำบุญเปิดสะพานลอยข้ามถนนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วม

นายพิชัย เลิศพงษ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สะพานลอยแห่งนี้ใช้งบประมาณ 10,600,000 บาท สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการแข่งขันวิ่งเทรลระดับโลก UTMB เชียงใหม่ ไทยแลนด์ ครั้งที่ 4 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนธันวาคม 2567 โดยสะพานลอยนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นและเส้นชัยของการแข่งขัน

นอกจากนี้ สะพานลอยดังกล่าวยังออกแบบให้รองรับผู้ใช้ทุกกลุ่ม ทั้งคนเดินเท้า ผู้ใช้จักรยาน และผู้ใช้วีลแชร์ นับเป็นสะพานลอยแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ลดอุบัติเหตุ และเชื่อมโยงเส้นทางการออกกำลังกายระหว่างสนามกีฬาสมโภช 700 ปี และสวนเฉลิมพระเกียรติ 82 พรรษาฯ

กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กับการหาเสียงเลือกตั้ง: บทบาทที่ต้องวางตัวเป็นกลาง

“ในฐานะผู้นำชุมชนที่ใกล้ชิดประชาชน กำนันและผู้ใหญ่บ้านมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้ง บทบาทของบุคคลเหล่านี้ก็ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความเป็นกลางทางการเมือง ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง กำนันและผู้ใหญ่บ้านต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่สามารถแสดงออกหรือกระทำการใดๆ ที่เป็นการให้คุณให้โทษแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองใดๆ ได้ ซึ่งรวมถึงการช่วยหาเสียงด้วย”

จากเอกสารราชการที่แนบมา ซึ่งออกโดยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ให้คำตอบข้อหารือเกี่ยวกับบทบาทของกำนันและผู้ใหญ่บ้านในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างชัดเจนว่า:

กำนันและผู้ใหญ่บ้านไม่สามารถช่วยหาเสียงเลือกตั้งได้

เหตุผลสำคัญคือ บุคคลเหล่านี้ต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง เนื่องจากมีบทบาทเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับท้องถิ่น การให้การสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใดรายหนึ่งจึงอาจถูกมองว่าเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการกระทำที่ไม่เป็นกลาง

ข้อจำกัดและแนวปฏิบัติที่สำคัญ

  • ความเป็นกลางทางการเมือง:
    • กำนันและผู้ใหญ่บ้านต้องรักษาความเป็นกลางทางการเมืองอย่างเคร่งครัด
    • ไม่สามารถใช้ตำแหน่งหน้าที่หรือทรัพยากรของรัฐเพื่อสนับสนุนหรือต่อต้านผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดๆ
    • การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองส่วนตัวสามารถทำได้ แต่ต้องไม่แสดงออกในลักษณะที่ชี้นำหรือโน้มน้าวผู้อื่น
  • การช่วยหาเสียง:
    • การช่วยหาเสียงโดยตรงถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
    • การอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมหาเสียงในพื้นที่สามารถทำได้ แต่ต้องปฏิบัติต่อผู้สมัครและพรรคการเมืองทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน
  • การให้ข้อมูลแก่ประชาชน:
    • สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งแก่ประชาชนได้
    • แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ข้อมูลในลักษณะที่ชี้นำหรือโน้มน้าวให้เลือกผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดๆ

ผลกระทบจากการฝ่าฝืน

การฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการวางตัวเป็นกลางทางการเมือง อาจส่งผลให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านได้รับบทลงโทษทางวินัย รวมถึงการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเลือกตั้ง

ข้อควรระวัง

  • เส้นแบ่งระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติกับการกระทำที่เป็นการหาเสียงนั้นมีความละเอียดอ่อน
  • กำนันและผู้ใหญ่บ้านควรศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด
  • หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอคำแนะนำ

ดังนั้น กำนันและผู้ใหญ่บ้านควรตระหนักถึงบทบาทของตนในการรักษาความเป็นกลางทางการเมือง เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใสและยุติธรรม

ชาวดอยสะเก็ดผนึกกำลัง GULF CMWTE ทำแนวกันไฟ ลดปัญหา PM 2.5 ฟื้นฟูป่าด้วยจุลินทรีย์

ดอยสะเก็ด, เชียงใหม่ – ชาวบ้านป่าตึงน้อยร่วมกับทหารและภาคเอกชน จัดกิจกรรมทำแนวกันไฟและฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ป่าชุมชน หวังลดปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่สุสานบ้านป่าตึงน้อย หมู่ 1 ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ นางสาวจันทร์จิรา จำปาอิน ผู้ใหญ่บ้านบ้านป่าตึงน้อย นำทีมชาวบ้าน ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 และเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลป่าป้อง พร้อมด้วยนายจิรศักดิ์ มีสัตย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ กลุ่มบริษัทกัลฟ์ GULF CMWTE  และพนักงาน ร่วมกันทำแนวกันไฟและฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ป่าชุมชน

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “คืนสมดุลสู่ป่าด้วยจุลินทรีย์” ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องที่มุ่งเน้นการนำองค์ความรู้ด้านฐานชีวภาพและจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการลดปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 นอกจากกิจกรรมทำแนวกันไฟแล้ว ทางโครงการยังได้จัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้นำชุมชนและประชาชนเกี่ยวกับการใช้จุลินทรีย์ในการย่อยสลายใบไม้และฟื้นฟูระบบนิเวศ รวมทั้งสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ชุมชนอีกด้วย

นางสาวจันทร์จิรา กล่าวว่า ป่าชุมชนเป็นแหล่งอาหารและทรัพยากรที่สำคัญของชาวบ้าน การทำแนวกันไฟและฟื้นฟูระบบนิเวศจึงเป็นกิจกรรมที่ชุมชนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไฟป่าและรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน

ด้านนายจิรศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทกัลฟ์ตระหนักถึงความสำคัญของป่าชุมชนและพร้อมที่จะสนับสนุนชุมชนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเต็มที่

ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ กลุ่มบริษัทกัลฟ์ กล่าวเสริมว่า ในช่วงฤดูฝนที่จะถึงนี้ ทางโครงการจะนำองค์ความรู้เกี่ยวกับเชื้อราไมคอร์ไรซ่ามาใช้ในการฟื้นฟูป่าเพิ่มเติม เพื่อสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศและส่งเสริมการเติบโตของป่าอย่างยั่งยืน

โครงการ “คืนสมดุลสู่ป่าด้วยจุลินทรีย์” เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชน ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน และสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ

เปิดแล้ว! โครงการน้ำประปาสะอาดสันโป่ง รองผู้ว่าฯ ชูยกระดับคุณภาพชีวิต

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นประธานเปิดโครงการน้ำประปาสะอาด ณ ตำบลสันโป่ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ตามนโยบาย “น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน” ของกระทรวงมหาดไทย ชูความร่วมมือภาครัฐและประชาชน มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ชุมชน

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2568 นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาและดูแลแหล่งน้ำดิบเพื่อการผลิตน้ำประปาจังหวัดเชียงใหม่ ณ สถานที่ผลิตน้ำประปาหนองป่าแดง บ้านน้ำหลง หมู่ที่ 10 ตำบลสันโป่ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

โครงการนี้จัดขึ้นตามนโยบาย “บริการน้ำดื่มสะอาดแก่ประชาชน” ของกระทรวงมหาดไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ตำบลสันโป่ง จำนวนกว่า 2,000 ราย ใน 8 หมู่บ้าน มีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภคอย่างเพียงพอ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำ

สถานที่ผลิตน้ำประปาหนองป่าแดงมีพื้นที่กว่า 27 ไร่ สามารถกักเก็บน้ำได้มากกว่า 100,000 ลูกบาศก์เมตร และมีกำลังการผลิต 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่

การเปิดโครงการนี้สร้างความยินดีให้กับชาวตำบลสันโป่งเป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วยให้พวกเขามีน้ำสะอาดใช้ในชีวิตประจำวันอย่างทั่วถึง