กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กับการหาเสียงเลือกตั้ง: บทบาทที่ต้องวางตัวเป็นกลาง

“ในฐานะผู้นำชุมชนที่ใกล้ชิดประชาชน กำนันและผู้ใหญ่บ้านมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้ง บทบาทของบุคคลเหล่านี้ก็ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความเป็นกลางทางการเมือง ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง กำนันและผู้ใหญ่บ้านต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่สามารถแสดงออกหรือกระทำการใดๆ ที่เป็นการให้คุณให้โทษแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองใดๆ ได้ ซึ่งรวมถึงการช่วยหาเสียงด้วย”

จากเอกสารราชการที่แนบมา ซึ่งออกโดยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ให้คำตอบข้อหารือเกี่ยวกับบทบาทของกำนันและผู้ใหญ่บ้านในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างชัดเจนว่า:

กำนันและผู้ใหญ่บ้านไม่สามารถช่วยหาเสียงเลือกตั้งได้

เหตุผลสำคัญคือ บุคคลเหล่านี้ต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง เนื่องจากมีบทบาทเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับท้องถิ่น การให้การสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใดรายหนึ่งจึงอาจถูกมองว่าเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการกระทำที่ไม่เป็นกลาง

ข้อจำกัดและแนวปฏิบัติที่สำคัญ

  • ความเป็นกลางทางการเมือง:
    • กำนันและผู้ใหญ่บ้านต้องรักษาความเป็นกลางทางการเมืองอย่างเคร่งครัด
    • ไม่สามารถใช้ตำแหน่งหน้าที่หรือทรัพยากรของรัฐเพื่อสนับสนุนหรือต่อต้านผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดๆ
    • การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองส่วนตัวสามารถทำได้ แต่ต้องไม่แสดงออกในลักษณะที่ชี้นำหรือโน้มน้าวผู้อื่น
  • การช่วยหาเสียง:
    • การช่วยหาเสียงโดยตรงถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
    • การอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมหาเสียงในพื้นที่สามารถทำได้ แต่ต้องปฏิบัติต่อผู้สมัครและพรรคการเมืองทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน
  • การให้ข้อมูลแก่ประชาชน:
    • สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งแก่ประชาชนได้
    • แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ข้อมูลในลักษณะที่ชี้นำหรือโน้มน้าวให้เลือกผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดๆ

ผลกระทบจากการฝ่าฝืน

การฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการวางตัวเป็นกลางทางการเมือง อาจส่งผลให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านได้รับบทลงโทษทางวินัย รวมถึงการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเลือกตั้ง

ข้อควรระวัง

  • เส้นแบ่งระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติกับการกระทำที่เป็นการหาเสียงนั้นมีความละเอียดอ่อน
  • กำนันและผู้ใหญ่บ้านควรศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด
  • หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอคำแนะนำ

ดังนั้น กำนันและผู้ใหญ่บ้านควรตระหนักถึงบทบาทของตนในการรักษาความเป็นกลางทางการเมือง เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใสและยุติธรรม

ชาวดอยสะเก็ดผนึกกำลัง GULF CMWTE ทำแนวกันไฟ ลดปัญหา PM 2.5 ฟื้นฟูป่าด้วยจุลินทรีย์

ดอยสะเก็ด, เชียงใหม่ – ชาวบ้านป่าตึงน้อยร่วมกับทหารและภาคเอกชน จัดกิจกรรมทำแนวกันไฟและฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ป่าชุมชน หวังลดปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่สุสานบ้านป่าตึงน้อย หมู่ 1 ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ นางสาวจันทร์จิรา จำปาอิน ผู้ใหญ่บ้านบ้านป่าตึงน้อย นำทีมชาวบ้าน ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 และเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลป่าป้อง พร้อมด้วยนายจิรศักดิ์ มีสัตย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ กลุ่มบริษัทกัลฟ์ GULF CMWTE  และพนักงาน ร่วมกันทำแนวกันไฟและฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ป่าชุมชน

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “คืนสมดุลสู่ป่าด้วยจุลินทรีย์” ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องที่มุ่งเน้นการนำองค์ความรู้ด้านฐานชีวภาพและจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการลดปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 นอกจากกิจกรรมทำแนวกันไฟแล้ว ทางโครงการยังได้จัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้นำชุมชนและประชาชนเกี่ยวกับการใช้จุลินทรีย์ในการย่อยสลายใบไม้และฟื้นฟูระบบนิเวศ รวมทั้งสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ชุมชนอีกด้วย

นางสาวจันทร์จิรา กล่าวว่า ป่าชุมชนเป็นแหล่งอาหารและทรัพยากรที่สำคัญของชาวบ้าน การทำแนวกันไฟและฟื้นฟูระบบนิเวศจึงเป็นกิจกรรมที่ชุมชนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไฟป่าและรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน

ด้านนายจิรศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทกัลฟ์ตระหนักถึงความสำคัญของป่าชุมชนและพร้อมที่จะสนับสนุนชุมชนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเต็มที่

ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ กลุ่มบริษัทกัลฟ์ กล่าวเสริมว่า ในช่วงฤดูฝนที่จะถึงนี้ ทางโครงการจะนำองค์ความรู้เกี่ยวกับเชื้อราไมคอร์ไรซ่ามาใช้ในการฟื้นฟูป่าเพิ่มเติม เพื่อสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศและส่งเสริมการเติบโตของป่าอย่างยั่งยืน

โครงการ “คืนสมดุลสู่ป่าด้วยจุลินทรีย์” เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชน ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน และสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ

เปิดแล้ว! โครงการน้ำประปาสะอาดสันโป่ง รองผู้ว่าฯ ชูยกระดับคุณภาพชีวิต

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นประธานเปิดโครงการน้ำประปาสะอาด ณ ตำบลสันโป่ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ตามนโยบาย “น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน” ของกระทรวงมหาดไทย ชูความร่วมมือภาครัฐและประชาชน มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ชุมชน

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2568 นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาและดูแลแหล่งน้ำดิบเพื่อการผลิตน้ำประปาจังหวัดเชียงใหม่ ณ สถานที่ผลิตน้ำประปาหนองป่าแดง บ้านน้ำหลง หมู่ที่ 10 ตำบลสันโป่ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

โครงการนี้จัดขึ้นตามนโยบาย “บริการน้ำดื่มสะอาดแก่ประชาชน” ของกระทรวงมหาดไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ตำบลสันโป่ง จำนวนกว่า 2,000 ราย ใน 8 หมู่บ้าน มีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภคอย่างเพียงพอ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำ

สถานที่ผลิตน้ำประปาหนองป่าแดงมีพื้นที่กว่า 27 ไร่ สามารถกักเก็บน้ำได้มากกว่า 100,000 ลูกบาศก์เมตร และมีกำลังการผลิต 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่

การเปิดโครงการนี้สร้างความยินดีให้กับชาวตำบลสันโป่งเป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วยให้พวกเขามีน้ำสะอาดใช้ในชีวิตประจำวันอย่างทั่วถึง

ตอกย้ำความเป็นเลิศ! ดร.พงศ์ศิริ คว้า “อาจารย์ยอดเยี่ยม” จาก Asia Education Conclave

ดร.พงศ์ศิริ คำขันแก้ว คว้ารางวัล “อาจารย์ยอดเยี่ยมแห่งปี” จาก Asia Education Conclave: ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านการศึกษาบริหารธุรกิจระดับนานาชาติ ในแวดวงการศึกษาด้านบริหารธุรกิจของเอเชีย ชื่อของ ดร.พงศ์ศิริ คำขันแก้ว ได้รับการจารึกในฐานะผู้สร้างคุณูปการอันโดดเด่น ด้วยการคว้ารางวัล “อาจารย์ยอดเยี่ยมแห่งปี” (Lecturer of the Year) จาก Asia Education Conclave รางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความทุ่มเทและความสามารถอันเป็นเลิศของ ดร.พงศ์ศิริ ในการพัฒนาการศึกษาด้านบริหารธุรกิจของประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล

เชียงใหม่ – วงการการศึกษาบริหารธุรกิจระดับนานาชาติได้จารึกชื่อของ ดร.พงศ์ศิริ คำขันแก้ว อาจารย์ประจำหลักสูตรบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ ในฐานะผู้สร้างคุณูปการอันโดดเด่น ด้วยการคว้ารางวัลอันทรงเกียรติ “อาจารย์ยอดเยี่ยมแห่งปี” (Lecturer of the Year) จากงานประชุมวิชาการระดับเอเชีย Asia Education Conclave ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยรางวัลนี้ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศที่มอบให้แก่บุคลากรทางการศึกษาผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาการศึกษาในภูมิภาคเอเชียให้ก้าวหน้า

ดร.พงศ์ศิริ คำขันแก้ว ได้รับการยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ โดยมีองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญครอบคลุมหลากหลายด้าน อาทิ การบริหารแบรนด์เชิงกลยุทธ์ การจัดการการตลาด และการออกแบบความคิด (Design Thinking) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน ด้วยประสบการณ์และความสามารถอันเป็นเลิศเหล่านี้ ทำให้ ดร.พงศ์ศิริ สามารถถ่ายทอดความรู้และจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้กับนักศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เส้นทางแห่งความสำเร็จบนถนนวิชาการ

ดร.พงศ์ศิริ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต (D.B.A.) จากมหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ โดยมีความเชี่ยวชาญในการบริหารแบรนด์เชิงกลยุทธ์และการจัดการการตลาด นอกจากนี้ ท่านยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (M.B.A.) และปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต (B.A.) สาขาภาษาเยอรมัน ด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะการสอนให้มีความแข็งแกร่ง

ผู้สร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาศักยภาพนักศึกษา

ในฐานะอาจารย์ประจำหลักสูตร M.B.A. และ D.B.A. ของมหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ ดร.พงศ์ศิริ ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับนักศึกษา โดยมุ่งเน้นการบูรณาการแนวคิดทฤษฎีกับการประยุกต์ใช้จริง เพื่อให้นักศึกษาสามารถนำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาและสร้างความสำเร็จในภาคธุรกิจได้ นอกจากนี้ ดร.พงศ์ศิริยังมีความเชี่ยวชาญในการสอนออกแบบความคิด (Design Thinking) ให้กับนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอก จากหลากหลายสถาบันทั้งภาครัฐและเอกชน

นักวิจัยและที่ปรึกษาผู้ทรงคุณค่า

นอกเหนือจากบทบาทอาจารย์ ดร.พงศ์ศิริยังเป็นนักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่นในด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ทุนแบรนด์ และอิทธิพลของเทคโนโลยีต่อกลยุทธ์การตลาด โดยผลงานวิจัยของท่านได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียง และได้รับรางวัล Best Paper Awards หลายครั้ง นอกจากนี้ ท่านยังเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจให้กับองค์กรต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทในการเชื่อมโยงความรู้ทางวิชาการเข้ากับภาคธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงเป็นผู้ให้ความรู้ด้านกฎหมายศุลกากรผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆด้วย

วิสัยทัศน์เพื่ออนาคตการศึกษา

ดร.พงศ์ศิริ กล่าวถึงวิสัยทัศน์ทางการศึกษาว่า “ผมเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่ใช่แค่การจดจำทฤษฎี แต่เป็นการนำความรู้ไปใช้เพื่อสร้างคุณค่าใหม่ๆ ให้กับธุรกิจและสังคม” ท่านยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาเชิงบูรณาการระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติ รวมถึงการพัฒนาแนวทางการสอนให้ตอบโจทย์ยุคดิจิทัลและโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การได้รับรางวัล “อาจารย์ยอดเยี่ยมแห่งปี” จาก Asia Education Conclave ในครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความทุ่มเทและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของ ดร.พงศ์ศิริ คำขันแก้ว ในการพัฒนาการศึกษาบริหารธุรกิจระดับนานาชาติ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคณาจารย์และนักศึกษาทั่วเอเชีย ในการมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพทางวิชาการและธุรกิจต่อไป

ศอ.ปกป.ภาค 3 พร้อมรับมือไฟป่า 17 จังหวัดเหนือ ระดมกำลังพลดับไฟหากสถานการณ์รุนแรง

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองภาค 3 (ศอ.ปกป.ภาค 3) ประกาศเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 พบจุดความร้อนสะสมสูงถึง 1,205 จุด โดยจังหวัดที่มีจุดความร้อนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ แม่ฮ่องสอน (287 จุด) ตาก (217 จุด) และเชียงใหม่ (167 จุด)

พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการ ศอ.ปกป.ภาค 3 เปิดเผยว่า จุดความร้อนส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ (663 จุด) และป่าสงวนแห่งชาติ (494 จุด) ส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่ภาคเหนือเกินค่ามาตรฐานในทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดน่าน แม่ฮ่องสอน และแพร่ ที่มีค่าฝุ่นละอองอยู่ในระดับวิกฤติ

เนื่องจากสถานการณ์หมอกควันหนาแน่น ทำให้การใช้อากาศยานในการดับไฟป่าเป็นไปอย่างยากลำบาก ศอ.ปกป.ภาค 3 จึงได้สั่งการให้หน่วยทหารในพื้นที่เตรียมกำลังพลและอุปกรณ์ดับไฟภาคพื้นดินให้พร้อมปฏิบัติการทันที หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น

“เราได้กำชับให้หน่วยทหารที่ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในพื้นที่เตรียมพร้อมกำลังพลและอุปกรณ์ เพื่อเข้าสนับสนุนการดับไฟป่าทันที หากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น” พลตรีชายแดนกล่าว

ศอ.ปกป.ภาค 3 ยังคงติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันอย่างใกล้ชิด และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมสถานการณ์และลดผลกระทบต่อประชาชนอย่างเต็มที่

มณฑลทหารบกที่ 33 จัดพิธีวันสถาปนาครบรอบ 107 ปี เสริมสร้างความมั่นคงและเป็นที่พึ่งของประชาชน

มณฑลทหารบกที่ 33 จัดพิธีเนื่องในวันสถาปนาครบรอบ 107 ปี เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2568 ณ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 อำเภอเมืองเชียงใหม่ โดยมีพิธีบวงสรวงพระเจ้ากาวิละและพิธีทำบุญทางศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญก้าวหน้าของหน่วยงาน

พลตรี ธีระ ผดุงสุนทร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 เป็นประธานในพิธีบวงสรวงพระเจ้ากาวิละ ซึ่งจัดขึ้น ณ อนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ จากนั้น ได้จัดพิธีทำบุญทางศาสนา ณ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 โดยมีพลเอกธวัช จารุกลัส อดีตผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ลำดับที่ 55 เป็นประธานในพิธี และมีคณะสงฆ์จากจังหวัดเชียงใหม่ 10 รูปเข้าร่วมประกอบพิธี

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มอบหมายให้นายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้แทนเข้าร่วมพิธี พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ จำนวนมาก

มณฑลทหารบกที่ 33 มีวิสัยทัศน์ในการเป็นทหารอาชีพที่สร้างความมั่นคงให้กับสถาบันหลัก เป็นที่พึ่งของประชาชน และส่งเสริมความสามัคคี โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต

“ผาเมือง” เปิดยุทธการ “SEAL STOP SAFE” ทลายเครือข่ายยาเสพติด ยึดของกลางมูลค่า 1.9 หมื่นล้าน

กองกำลังผาเมืองสนธิกำลัง 51 อำเภอชายแดน ประกาศเปิดฉากปฏิบัติการ “SEAL STOP SAFE” เดินหน้ากวาดล้างยาเสพติดครั้งใหญ่ตามนโยบายรัฐบาล มุ่งสกัดกั้นการทะลักเข้าของยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมทั้งบำบัดฟื้นฟูผู้เสพให้กลับคืนสู่สังคม โดยตั้งเป้าดำเนินการต่อเนื่อง 6 เดือนเต็ม เริ่มตั้งแต่กุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม 2568

ตามนโยบายของรัฐบาลในการเร่งรัดปราบปรามยาเสพติด กองกำลังผาเมืองสนธิกำลังร่วมกับ 51 อำเภอชายแดน เปิดปฏิบัติการ “SEAL STOP SAFE” มุ่งสกัดกั้นยาเสพติดไม่ให้เล็ดลอดเข้าประเทศ พร้อมทั้งบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดให้กลับคืนสู่สังคม โดยเน้นย้ำปฏิบัติการตลอด 6 เดือน ตั้งแต่กุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม 2568

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 กองกำลังผาเมืองปะทะกับกลุ่มขบวนการลักลอบขนยาเสพติดในพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ หลังได้รับรายงานข่าวการเคลื่อนไหวผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนพบกลุ่มผู้ต้องสงสัย 3-5 คน สะพายเป้ดัดแปลงบริเวณช่องทางธรรมชาติบ้านหล่ายอาย จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ แต่กลุ่มคนร้ายกลับใช้อาวุธปืนยิงใส่ ทำให้เกิดการปะทะกันประมาณ 5 นาที

หลังสิ้นเสียงปืน เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่ พบกระสอบบรรจุยาบ้า 4 ใบ รวม 600,000 เม็ด แต่ไม่พบผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกลุ่มคนร้าย วันรุ่งขึ้น ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมืองส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและนำของกลางส่งสถานีตำรวจภูธรแม่อาย

จากการสรุปผลการปฏิบัติงาน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงปัจจุบัน กองกำลังผาเมืองสามารถสกัดจับยาเสพติดได้ 211 ครั้ง จับกุมผู้ต้องหา 228 คน ยึดยาบ้ากว่า 77 ล้านเม็ด เฮโรอีน 145 กิโลกรัม ไอซ์ 7,141 กิโลกรัม ฝิ่น 6.1 กิโลกรัม และคีตามีน 235 กิโลกรัม มีการปะทะกับกลุ่มขบวนการ 32 ครั้ง ทำให้คนร้ายเสียชีวิต 11 คน หากยาเสพติดล็อตนี้หลุดรอดเข้ากรุงเทพฯ จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 19,217 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนยังคงมีความท้าทาย ทั้งสภาพภูมิประเทศ และการลักลอบที่ซับซ้อน กองกำลังผาเมืองจึงเพิ่มความเข้มงวดในการสกัดกั้น พร้อมทั้งดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติดตามนโยบาย “SAFE” เพื่อลดผลกระทบจากปัญหายาเสพติดให้ได้มากที่สุด

มหกรรมลาบเมือง ครั้งที่ 48 “ม่วนขนาด! แข่งลาบเมือง กินลาบได้ลาภ 6 เมษาฯ”

เตรียมพบกับมหกรรมอาหารล้านนาสุดยิ่งใหญ่ใจกลางเมืองเชียงใหม่! ชมรมผู้สื่อข่าวจังหวัดเชียงใหม่ จับมือนิยมไทย จัดงานมหกรรมลาบเมือง ครั้งที่ 48  “กินลาบได้ลาภ” เชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสรสชาติลาบเมืองต้นตำรับ พร้อมชมการแข่งขันฝีมือสล่าลาบ และสนุกสนานกับกิจกรรมมากมาย ในวันที่ 6 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

ชมรมผู้สื่อข่าวจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ บริษัท นิยมไทย จำกัด จัดงาน “นิยมไทย กินลาบได้ลาภ” มหกรรมการแข่งขันทำลาบเมืองต้นตำรับ ครั้งที่ 48 เพื่อสืบสานและส่งต่อวัฒนธรรมอาหารล้านนาให้คงอยู่ พร้อมเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้สัมผัสรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ในวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2568 เวลา 15.00 – 22.30 น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

งาน “นิยมไทย กินลาบได้ลาภ” จัดขึ้นเพื่ออนุรักษ์อาหารพื้นเมืองล้านนา ส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณี และกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยภายในงานมีการแข่งขันทำลาบเมืองต้นตำรับ การออกร้านจำหน่ายอาหารและสินค้า การแสดงดนตรี และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ไฮไลท์ของงานอยู่ที่การแข่งขันทำลาบเมือง 4 ประเภท ได้แก่ การปรุงลาบเมือง การลาบลีลา การจัดผักกับลาบ และลาบมหานิยม ชิงเงินรางวัลและของรางวัลมูลค่ารวมกว่า 20,000 บาท

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้เพลิดเพลินกับมินิคอนเสิร์ตจากวงเดอะเพอะ และวงเดอะเมดเลย์แบนด์ CNX เชียงใหม่ ซุ้มเกมจากนิยมไทย การแสดงและรีวิวจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของเชียงใหม่ และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขัน สามารถสมัครได้ที่ คุณแว่นแก้ว โทร 081-4691935, คุณอัครวิทย์ ระบิน โทร 081-3876677, อินบ๊อกซ์เพจ “คนล้านนา”, ร้านลาบต้นยาง 2 ถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี โทร 080-1217215 และคณะกรรมการจัดงานฯ โดยมีค่าสมัครทีมละ 500 บาท รับจำนวนจำกัดเพียง 50 ทีมเท่านั้น

ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสประสบการณ์รสชาติอาหารล้านนาต้นตำรับ และร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ในงาน “นิยมไทย กินลาบได้ลาภ” ในวันที่ 6 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

ไฮไลท์ของงาน
* มินิคอนเสิร์ตฟังม่วน จากวงเดอะเพอะ และวงเดอะเมดเลย์แบนด์ CNX เชียงใหม่
* การออกร้านช้อปม่วน จำหน่ายสินค้า อาหาร และร้านลาบมากมาย
* เกมบนเวที และกิจกรรมร่วมทายผลลาบ ลาบมหานิยม
* ซุ้มเกมนิยมไทยม๊วนม่วน เกมหลากหลายพร้อมของที่ระลึกจากนิยมไทย
* พบเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของเชียงใหม่ ที่จะมาร่วมรีวิวและสร้างคอนเทนต์สนุก ๆ ตลอดทั้งงาน
* เข้าร่วมงานฟรี ไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู
การแข่งขันลาบเมือง
การแข่งขันภายในงานแบ่งออกเป็น 4 ประเภท:
* การแข่งขันปรุงลาบเมือง
* รางวัลชนะเลิศ: เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมเขียงทองคำ
* รองชนะเลิศ: เงินรางวัล 3,000 บาท พร้อมเขียงทองคำ
* รองชนะเลิศอันดับ 2: เงินรางวัล 2,000 บาท พร้อมเขียงทองคำ
* รางวัลชมเชย 5 รางวัล: รางวัลละ 1,000 บาท และเกียรติบัตร
* การแข่งขันลาบลีลา (ลาบเนียน)
* รางวัลชนะเลิศ: เงินรางวัล 1,500 บาทพร้อมเขียงทองคำ
* รางวัลชมเชย 3 รางวัล: รางวัลละ 500 บาทพร้อมเกียรติบัตร
* การแข่งขันจัดผักกับลาบ
* รางวัลชนะเลิศ: เงินรางวัล 1,500 บาท พร้อมเกียรติบัตร
* รองชนะเลิศ: เงินรางวัล 1,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร
* รองชนะเลิศอันดับ 2: เงินรางวัล 500 บาท พร้อมเกียรติบัตร
* รางวัลพิเศษ ลาบมหานิยม ที่จะได้มาจากการโหวตจากประชาชนทั่วไปที่มาร่วมงาน
* รางวัลชนะเลิศ: เงินรางวัล 2,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร

การสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน
เปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันเพียง 50 ทีมเท่านั้น โดยมีค่าสมัครทีมละ 500 บาท ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ที่:
* คุณแว่นแก้ว โทร 081-4691935
* คุณอัครวิทย์ ระบิน โทร 081-3876677
* สมัครผ่านทาง inbox เพจ “คนล้านนา”
* คุณจรัล ชัยวงศ์ ร้านลาบต้นยาง 2 ถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี (ถนนหน้าศาลากลาง) โทร 080-1217215
* สมัครได้ที่คณะกรรมการจัดงานมหกรรมลาบเมืองครั้งที่ 48 ทุกคน

พบกับประสบการณ์รสชาติล้านนาแท้และความสนุกสนานในงาน “นิยมไทย กินลาบได้ลาภ” วันที่ 6 เมษายน 2568 เวลา 15.00 – 22.30 น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟส)

สมชาย-เยาวภา นำทำบุญใหญ่ เปิดสวนสาธารณะสวนรถไฟ เชียงใหม่ สู่ปอดแห่งใหม่ใจกลางเมือง

“สวนสาธารณะสวนรถไฟ เชียงใหม่” พื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ใจกลางเมือง ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (อบจ.เชียงใหม่) ได้ดำเนินการปรับปรุงบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ขนาด 42 ไร่ ได้ทำพิธีทำบุญใหญ่โดยมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นประธานในพิธีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นปอดแห่งใหม่ให้ประชาชนชาวเชียงใหม่ได้มีสถานที่ออกกำลังกาย และพักผ่อนหย่อนใจ

เชียงใหม่, 24 มีนาคม 2568 – นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ร่วมเป็นประธานในพิธีทำบุญสวนสาธารณะสวนรถไฟ อบจ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายก อบจ.เชียงใหม่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ.เชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวเชียงใหม่จำนวนมากเข้าร่วมในพิธีทำบุญเจริญพระพุทธมนต์ โดยมีพระเทพมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดท่าตอนพระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมการแสดงฟ้อนเล็บต้อนรับจากเครือข่ายสตรีและชุมชนจังหวัดเชียงใหม่กว่าพันชีวิต

การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเปิดสวนสาธารณะสวนรถไฟ อบจ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ โดยสวนสาธารณะดังกล่าวได้รับการปรับปรุงบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยขนาด 42 ไร่ เพื่อให้เป็นพื้นที่ออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ และจัดกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ สำหรับประชาชน

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายก อบจ.เชียงใหม่ กล่าวว่า “สวนสาธารณะแห่งนี้จะเป็นปอดแห่งใหม่ของเมืองเชียงใหม่ เป็นสถานที่ที่ประชาชนทุกเพศทุกวัยสามารถมาออกกำลังกาย พักผ่อน และทำกิจกรรมร่วมกันได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของชาวเชียงใหม่”

นอกจากนี้ การปรับปรุงสวนสาธารณะแห่งนี้ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และสร้างรายได้ให้กับชุมชนโดยรอบอีกด้วย โดยอบจ.เชียงใหม่มีแผนที่จะพัฒนาสวนสาธารณะแห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่

เชียงใหม่ออกประกาศเขตประสบภัยพิบัติไฟป่า เร่งช่วยเหลือ 5 ตำบล 2 อำเภอ

สถานการณ์ไฟป่าที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานและส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสุขภาพของประชาชน ล่าสุด นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อัคคีภัย 1 (ไฟป่า) ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบล ใน 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเชียงดาวและอำเภออมก๋อย

การประกาศดังกล่าวมีจุดประสงค์หลักเพื่อเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย รวมถึงควบคุมสถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้สั่งการให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ตามมาตรการที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ สถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต ซึ่งทางจังหวัดเชียงใหม่ได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อย่างเต็มที่