ตอกย้ำความเป็นเลิศ! ดร.พงศ์ศิริ คว้า “อาจารย์ยอดเยี่ยม” จาก Asia Education Conclave

ดร.พงศ์ศิริ คำขันแก้ว คว้ารางวัล “อาจารย์ยอดเยี่ยมแห่งปี” จาก Asia Education Conclave: ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านการศึกษาบริหารธุรกิจระดับนานาชาติ ในแวดวงการศึกษาด้านบริหารธุรกิจของเอเชีย ชื่อของ ดร.พงศ์ศิริ คำขันแก้ว ได้รับการจารึกในฐานะผู้สร้างคุณูปการอันโดดเด่น ด้วยการคว้ารางวัล “อาจารย์ยอดเยี่ยมแห่งปี” (Lecturer of the Year) จาก Asia Education Conclave รางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความทุ่มเทและความสามารถอันเป็นเลิศของ ดร.พงศ์ศิริ ในการพัฒนาการศึกษาด้านบริหารธุรกิจของประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล

เชียงใหม่ – วงการการศึกษาบริหารธุรกิจระดับนานาชาติได้จารึกชื่อของ ดร.พงศ์ศิริ คำขันแก้ว อาจารย์ประจำหลักสูตรบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ ในฐานะผู้สร้างคุณูปการอันโดดเด่น ด้วยการคว้ารางวัลอันทรงเกียรติ “อาจารย์ยอดเยี่ยมแห่งปี” (Lecturer of the Year) จากงานประชุมวิชาการระดับเอเชีย Asia Education Conclave ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยรางวัลนี้ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศที่มอบให้แก่บุคลากรทางการศึกษาผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาการศึกษาในภูมิภาคเอเชียให้ก้าวหน้า

ดร.พงศ์ศิริ คำขันแก้ว ได้รับการยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ โดยมีองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญครอบคลุมหลากหลายด้าน อาทิ การบริหารแบรนด์เชิงกลยุทธ์ การจัดการการตลาด และการออกแบบความคิด (Design Thinking) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน ด้วยประสบการณ์และความสามารถอันเป็นเลิศเหล่านี้ ทำให้ ดร.พงศ์ศิริ สามารถถ่ายทอดความรู้และจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้กับนักศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เส้นทางแห่งความสำเร็จบนถนนวิชาการ

ดร.พงศ์ศิริ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต (D.B.A.) จากมหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ โดยมีความเชี่ยวชาญในการบริหารแบรนด์เชิงกลยุทธ์และการจัดการการตลาด นอกจากนี้ ท่านยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (M.B.A.) และปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต (B.A.) สาขาภาษาเยอรมัน ด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะการสอนให้มีความแข็งแกร่ง

ผู้สร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาศักยภาพนักศึกษา

ในฐานะอาจารย์ประจำหลักสูตร M.B.A. และ D.B.A. ของมหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ ดร.พงศ์ศิริ ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับนักศึกษา โดยมุ่งเน้นการบูรณาการแนวคิดทฤษฎีกับการประยุกต์ใช้จริง เพื่อให้นักศึกษาสามารถนำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาและสร้างความสำเร็จในภาคธุรกิจได้ นอกจากนี้ ดร.พงศ์ศิริยังมีความเชี่ยวชาญในการสอนออกแบบความคิด (Design Thinking) ให้กับนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอก จากหลากหลายสถาบันทั้งภาครัฐและเอกชน

นักวิจัยและที่ปรึกษาผู้ทรงคุณค่า

นอกเหนือจากบทบาทอาจารย์ ดร.พงศ์ศิริยังเป็นนักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่นในด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ทุนแบรนด์ และอิทธิพลของเทคโนโลยีต่อกลยุทธ์การตลาด โดยผลงานวิจัยของท่านได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียง และได้รับรางวัล Best Paper Awards หลายครั้ง นอกจากนี้ ท่านยังเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจให้กับองค์กรต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทในการเชื่อมโยงความรู้ทางวิชาการเข้ากับภาคธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงเป็นผู้ให้ความรู้ด้านกฎหมายศุลกากรผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆด้วย

วิสัยทัศน์เพื่ออนาคตการศึกษา

ดร.พงศ์ศิริ กล่าวถึงวิสัยทัศน์ทางการศึกษาว่า “ผมเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่ใช่แค่การจดจำทฤษฎี แต่เป็นการนำความรู้ไปใช้เพื่อสร้างคุณค่าใหม่ๆ ให้กับธุรกิจและสังคม” ท่านยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาเชิงบูรณาการระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติ รวมถึงการพัฒนาแนวทางการสอนให้ตอบโจทย์ยุคดิจิทัลและโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การได้รับรางวัล “อาจารย์ยอดเยี่ยมแห่งปี” จาก Asia Education Conclave ในครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความทุ่มเทและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของ ดร.พงศ์ศิริ คำขันแก้ว ในการพัฒนาการศึกษาบริหารธุรกิจระดับนานาชาติ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคณาจารย์และนักศึกษาทั่วเอเชีย ในการมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพทางวิชาการและธุรกิจต่อไป

ศอ.ปกป.ภาค 3 พร้อมรับมือไฟป่า 17 จังหวัดเหนือ ระดมกำลังพลดับไฟหากสถานการณ์รุนแรง

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองภาค 3 (ศอ.ปกป.ภาค 3) ประกาศเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 พบจุดความร้อนสะสมสูงถึง 1,205 จุด โดยจังหวัดที่มีจุดความร้อนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ แม่ฮ่องสอน (287 จุด) ตาก (217 จุด) และเชียงใหม่ (167 จุด)

พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการ ศอ.ปกป.ภาค 3 เปิดเผยว่า จุดความร้อนส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ (663 จุด) และป่าสงวนแห่งชาติ (494 จุด) ส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่ภาคเหนือเกินค่ามาตรฐานในทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดน่าน แม่ฮ่องสอน และแพร่ ที่มีค่าฝุ่นละอองอยู่ในระดับวิกฤติ

เนื่องจากสถานการณ์หมอกควันหนาแน่น ทำให้การใช้อากาศยานในการดับไฟป่าเป็นไปอย่างยากลำบาก ศอ.ปกป.ภาค 3 จึงได้สั่งการให้หน่วยทหารในพื้นที่เตรียมกำลังพลและอุปกรณ์ดับไฟภาคพื้นดินให้พร้อมปฏิบัติการทันที หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น

“เราได้กำชับให้หน่วยทหารที่ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในพื้นที่เตรียมพร้อมกำลังพลและอุปกรณ์ เพื่อเข้าสนับสนุนการดับไฟป่าทันที หากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น” พลตรีชายแดนกล่าว

ศอ.ปกป.ภาค 3 ยังคงติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันอย่างใกล้ชิด และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมสถานการณ์และลดผลกระทบต่อประชาชนอย่างเต็มที่

มณฑลทหารบกที่ 33 จัดพิธีวันสถาปนาครบรอบ 107 ปี เสริมสร้างความมั่นคงและเป็นที่พึ่งของประชาชน

มณฑลทหารบกที่ 33 จัดพิธีเนื่องในวันสถาปนาครบรอบ 107 ปี เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2568 ณ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 อำเภอเมืองเชียงใหม่ โดยมีพิธีบวงสรวงพระเจ้ากาวิละและพิธีทำบุญทางศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญก้าวหน้าของหน่วยงาน

พลตรี ธีระ ผดุงสุนทร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 เป็นประธานในพิธีบวงสรวงพระเจ้ากาวิละ ซึ่งจัดขึ้น ณ อนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ จากนั้น ได้จัดพิธีทำบุญทางศาสนา ณ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 โดยมีพลเอกธวัช จารุกลัส อดีตผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ลำดับที่ 55 เป็นประธานในพิธี และมีคณะสงฆ์จากจังหวัดเชียงใหม่ 10 รูปเข้าร่วมประกอบพิธี

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มอบหมายให้นายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้แทนเข้าร่วมพิธี พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ จำนวนมาก

มณฑลทหารบกที่ 33 มีวิสัยทัศน์ในการเป็นทหารอาชีพที่สร้างความมั่นคงให้กับสถาบันหลัก เป็นที่พึ่งของประชาชน และส่งเสริมความสามัคคี โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต

“ผาเมือง” เปิดยุทธการ “SEAL STOP SAFE” ทลายเครือข่ายยาเสพติด ยึดของกลางมูลค่า 1.9 หมื่นล้าน

กองกำลังผาเมืองสนธิกำลัง 51 อำเภอชายแดน ประกาศเปิดฉากปฏิบัติการ “SEAL STOP SAFE” เดินหน้ากวาดล้างยาเสพติดครั้งใหญ่ตามนโยบายรัฐบาล มุ่งสกัดกั้นการทะลักเข้าของยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมทั้งบำบัดฟื้นฟูผู้เสพให้กลับคืนสู่สังคม โดยตั้งเป้าดำเนินการต่อเนื่อง 6 เดือนเต็ม เริ่มตั้งแต่กุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม 2568

ตามนโยบายของรัฐบาลในการเร่งรัดปราบปรามยาเสพติด กองกำลังผาเมืองสนธิกำลังร่วมกับ 51 อำเภอชายแดน เปิดปฏิบัติการ “SEAL STOP SAFE” มุ่งสกัดกั้นยาเสพติดไม่ให้เล็ดลอดเข้าประเทศ พร้อมทั้งบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดให้กลับคืนสู่สังคม โดยเน้นย้ำปฏิบัติการตลอด 6 เดือน ตั้งแต่กุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม 2568

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 กองกำลังผาเมืองปะทะกับกลุ่มขบวนการลักลอบขนยาเสพติดในพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ หลังได้รับรายงานข่าวการเคลื่อนไหวผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนพบกลุ่มผู้ต้องสงสัย 3-5 คน สะพายเป้ดัดแปลงบริเวณช่องทางธรรมชาติบ้านหล่ายอาย จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ แต่กลุ่มคนร้ายกลับใช้อาวุธปืนยิงใส่ ทำให้เกิดการปะทะกันประมาณ 5 นาที

หลังสิ้นเสียงปืน เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่ พบกระสอบบรรจุยาบ้า 4 ใบ รวม 600,000 เม็ด แต่ไม่พบผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกลุ่มคนร้าย วันรุ่งขึ้น ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมืองส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและนำของกลางส่งสถานีตำรวจภูธรแม่อาย

จากการสรุปผลการปฏิบัติงาน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงปัจจุบัน กองกำลังผาเมืองสามารถสกัดจับยาเสพติดได้ 211 ครั้ง จับกุมผู้ต้องหา 228 คน ยึดยาบ้ากว่า 77 ล้านเม็ด เฮโรอีน 145 กิโลกรัม ไอซ์ 7,141 กิโลกรัม ฝิ่น 6.1 กิโลกรัม และคีตามีน 235 กิโลกรัม มีการปะทะกับกลุ่มขบวนการ 32 ครั้ง ทำให้คนร้ายเสียชีวิต 11 คน หากยาเสพติดล็อตนี้หลุดรอดเข้ากรุงเทพฯ จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 19,217 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนยังคงมีความท้าทาย ทั้งสภาพภูมิประเทศ และการลักลอบที่ซับซ้อน กองกำลังผาเมืองจึงเพิ่มความเข้มงวดในการสกัดกั้น พร้อมทั้งดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติดตามนโยบาย “SAFE” เพื่อลดผลกระทบจากปัญหายาเสพติดให้ได้มากที่สุด

มหกรรมลาบเมือง ครั้งที่ 48 “ม่วนขนาด! แข่งลาบเมือง กินลาบได้ลาภ 6 เมษาฯ”

เตรียมพบกับมหกรรมอาหารล้านนาสุดยิ่งใหญ่ใจกลางเมืองเชียงใหม่! ชมรมผู้สื่อข่าวจังหวัดเชียงใหม่ จับมือนิยมไทย จัดงานมหกรรมลาบเมือง ครั้งที่ 48  “กินลาบได้ลาภ” เชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสรสชาติลาบเมืองต้นตำรับ พร้อมชมการแข่งขันฝีมือสล่าลาบ และสนุกสนานกับกิจกรรมมากมาย ในวันที่ 6 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

ชมรมผู้สื่อข่าวจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ บริษัท นิยมไทย จำกัด จัดงาน “นิยมไทย กินลาบได้ลาภ” มหกรรมการแข่งขันทำลาบเมืองต้นตำรับ ครั้งที่ 48 เพื่อสืบสานและส่งต่อวัฒนธรรมอาหารล้านนาให้คงอยู่ พร้อมเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้สัมผัสรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ในวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2568 เวลา 15.00 – 22.30 น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

งาน “นิยมไทย กินลาบได้ลาภ” จัดขึ้นเพื่ออนุรักษ์อาหารพื้นเมืองล้านนา ส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณี และกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยภายในงานมีการแข่งขันทำลาบเมืองต้นตำรับ การออกร้านจำหน่ายอาหารและสินค้า การแสดงดนตรี และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ไฮไลท์ของงานอยู่ที่การแข่งขันทำลาบเมือง 4 ประเภท ได้แก่ การปรุงลาบเมือง การลาบลีลา การจัดผักกับลาบ และลาบมหานิยม ชิงเงินรางวัลและของรางวัลมูลค่ารวมกว่า 20,000 บาท

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้เพลิดเพลินกับมินิคอนเสิร์ตจากวงเดอะเพอะ และวงเดอะเมดเลย์แบนด์ CNX เชียงใหม่ ซุ้มเกมจากนิยมไทย การแสดงและรีวิวจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของเชียงใหม่ และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขัน สามารถสมัครได้ที่ คุณแว่นแก้ว โทร 081-4691935, คุณอัครวิทย์ ระบิน โทร 081-3876677, อินบ๊อกซ์เพจ “คนล้านนา”, ร้านลาบต้นยาง 2 ถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี โทร 080-1217215 และคณะกรรมการจัดงานฯ โดยมีค่าสมัครทีมละ 500 บาท รับจำนวนจำกัดเพียง 50 ทีมเท่านั้น

ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมสัมผัสประสบการณ์รสชาติอาหารล้านนาต้นตำรับ และร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ในงาน “นิยมไทย กินลาบได้ลาภ” ในวันที่ 6 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

ไฮไลท์ของงาน
* มินิคอนเสิร์ตฟังม่วน จากวงเดอะเพอะ และวงเดอะเมดเลย์แบนด์ CNX เชียงใหม่
* การออกร้านช้อปม่วน จำหน่ายสินค้า อาหาร และร้านลาบมากมาย
* เกมบนเวที และกิจกรรมร่วมทายผลลาบ ลาบมหานิยม
* ซุ้มเกมนิยมไทยม๊วนม่วน เกมหลากหลายพร้อมของที่ระลึกจากนิยมไทย
* พบเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของเชียงใหม่ ที่จะมาร่วมรีวิวและสร้างคอนเทนต์สนุก ๆ ตลอดทั้งงาน
* เข้าร่วมงานฟรี ไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู
การแข่งขันลาบเมือง
การแข่งขันภายในงานแบ่งออกเป็น 4 ประเภท:
* การแข่งขันปรุงลาบเมือง
* รางวัลชนะเลิศ: เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมเขียงทองคำ
* รองชนะเลิศ: เงินรางวัล 3,000 บาท พร้อมเขียงทองคำ
* รองชนะเลิศอันดับ 2: เงินรางวัล 2,000 บาท พร้อมเขียงทองคำ
* รางวัลชมเชย 5 รางวัล: รางวัลละ 1,000 บาท และเกียรติบัตร
* การแข่งขันลาบลีลา (ลาบเนียน)
* รางวัลชนะเลิศ: เงินรางวัล 1,500 บาทพร้อมเขียงทองคำ
* รางวัลชมเชย 3 รางวัล: รางวัลละ 500 บาทพร้อมเกียรติบัตร
* การแข่งขันจัดผักกับลาบ
* รางวัลชนะเลิศ: เงินรางวัล 1,500 บาท พร้อมเกียรติบัตร
* รองชนะเลิศ: เงินรางวัล 1,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร
* รองชนะเลิศอันดับ 2: เงินรางวัล 500 บาท พร้อมเกียรติบัตร
* รางวัลพิเศษ ลาบมหานิยม ที่จะได้มาจากการโหวตจากประชาชนทั่วไปที่มาร่วมงาน
* รางวัลชนะเลิศ: เงินรางวัล 2,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร

การสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน
เปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันเพียง 50 ทีมเท่านั้น โดยมีค่าสมัครทีมละ 500 บาท ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ที่:
* คุณแว่นแก้ว โทร 081-4691935
* คุณอัครวิทย์ ระบิน โทร 081-3876677
* สมัครผ่านทาง inbox เพจ “คนล้านนา”
* คุณจรัล ชัยวงศ์ ร้านลาบต้นยาง 2 ถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี (ถนนหน้าศาลากลาง) โทร 080-1217215
* สมัครได้ที่คณะกรรมการจัดงานมหกรรมลาบเมืองครั้งที่ 48 ทุกคน

พบกับประสบการณ์รสชาติล้านนาแท้และความสนุกสนานในงาน “นิยมไทย กินลาบได้ลาภ” วันที่ 6 เมษายน 2568 เวลา 15.00 – 22.30 น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟส)

สมชาย-เยาวภา นำทำบุญใหญ่ เปิดสวนสาธารณะสวนรถไฟ เชียงใหม่ สู่ปอดแห่งใหม่ใจกลางเมือง

“สวนสาธารณะสวนรถไฟ เชียงใหม่” พื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ใจกลางเมือง ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (อบจ.เชียงใหม่) ได้ดำเนินการปรับปรุงบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ขนาด 42 ไร่ ได้ทำพิธีทำบุญใหญ่โดยมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นประธานในพิธีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นปอดแห่งใหม่ให้ประชาชนชาวเชียงใหม่ได้มีสถานที่ออกกำลังกาย และพักผ่อนหย่อนใจ

เชียงใหม่, 24 มีนาคม 2568 – นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ร่วมเป็นประธานในพิธีทำบุญสวนสาธารณะสวนรถไฟ อบจ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายก อบจ.เชียงใหม่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ.เชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวเชียงใหม่จำนวนมากเข้าร่วมในพิธีทำบุญเจริญพระพุทธมนต์ โดยมีพระเทพมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดท่าตอนพระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมการแสดงฟ้อนเล็บต้อนรับจากเครือข่ายสตรีและชุมชนจังหวัดเชียงใหม่กว่าพันชีวิต

การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเปิดสวนสาธารณะสวนรถไฟ อบจ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ โดยสวนสาธารณะดังกล่าวได้รับการปรับปรุงบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยขนาด 42 ไร่ เพื่อให้เป็นพื้นที่ออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ และจัดกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ สำหรับประชาชน

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายก อบจ.เชียงใหม่ กล่าวว่า “สวนสาธารณะแห่งนี้จะเป็นปอดแห่งใหม่ของเมืองเชียงใหม่ เป็นสถานที่ที่ประชาชนทุกเพศทุกวัยสามารถมาออกกำลังกาย พักผ่อน และทำกิจกรรมร่วมกันได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของชาวเชียงใหม่”

นอกจากนี้ การปรับปรุงสวนสาธารณะแห่งนี้ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และสร้างรายได้ให้กับชุมชนโดยรอบอีกด้วย โดยอบจ.เชียงใหม่มีแผนที่จะพัฒนาสวนสาธารณะแห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่

เชียงใหม่ออกประกาศเขตประสบภัยพิบัติไฟป่า เร่งช่วยเหลือ 5 ตำบล 2 อำเภอ

สถานการณ์ไฟป่าที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานและส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสุขภาพของประชาชน ล่าสุด นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อัคคีภัย 1 (ไฟป่า) ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบล ใน 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเชียงดาวและอำเภออมก๋อย

การประกาศดังกล่าวมีจุดประสงค์หลักเพื่อเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย รวมถึงควบคุมสถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้สั่งการให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ตามมาตรการที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ สถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต ซึ่งทางจังหวัดเชียงใหม่ได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อย่างเต็มที่

GULF-CMWTE หนุนชุมชนทุ่งยาว อำเภอดอยสะเก็ด สู้ PM 2.5 ฟื้นป่า

GULF CMWTE ผนึกกำลังชุมชนบ้านทุ่งยาว ดอยสะเก็ดฯ ลด PM 2.5 ทำแนวกันไฟ คืนสมดุลให้ป่าด้วยจุลินทรีย์  “ท่ามกลางวิกฤต PM 2.5 ที่คุกคามภาคเหนือ ชุมชนบ้านทุ่งยาว อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ได้ลุกขึ้นผนึกกำลังกับภาคเอกชนและหน่วยงานต่างๆ สร้างปรากฏการณ์ ‘ทุ่งยาวโมเดล’ ด้วยการทำแนวกันไฟและฟื้นฟูระบบนิเวศด้วยจุลินทรีย์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

วันที่ 23 มีนาคม 2568 ปัญหาไฟป่าและ PM 2.5 ในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงฤดูแล้ง ยังคงเป็นปัญหาวิกฤตอย่างต่อเนื่อง ชุมชนที่โดดเด่นในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ คือ ชุมชนบ้านทุ่งยาว ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ นำโดยกำนันสมพงค์ เจริญศิริ กำนันตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และได้ผนึกกำลังกับกลุ่มบริษัท GULF และโครงการโรงไฟฟ้าขยะ บริษัทเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี จำกัด (CMWTE) นำโดยนายจิรศักดิ์ มีสัตย์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ฯ และ ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน นักวิชาการ ในการร่วมส่งเสริมกับชุมชน จัดโครงการฯ และกองกำลังทหารจาก พัน.ป.7 นำโดยร้อยตรีมีนา แก้ววรรณะ หัวหน้าชุดปฏิบัติการผาลาด นำทหารเข้าร่วมกว่า 40 นาย

โครงการ “ทำแนวกันไฟและคืนสมดุลให้ป่าด้วยจุลินทรีย์” เป็นโครงการที่กำนันสมพงค์ เจริญศิริ และชาวบ้านได้ปฏิบัติการดูแลมาอย่างต่อเนื่องทุกปี สำหรับปีนี้ ภาคเอกชนและทหารได้เข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2567 ที่บริษัท GULF และ CMWTE ได้นำองค์ความรู้ด้านฐานชีวภาพและจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ มาจัดอบรมให้กับผู้นำชุมชนและประชาชน หมู่ 8 บ้านทุ่งยาว ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ในโครงการ “คืนสมดุลให้ป่าด้วยจุลินทรีย์” และสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชุมชนมีองค์ความรู้เกี่ยวกับฐานชีวภาพและระบบนิเวศฯลฯ และสามารถเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ นำมาช่วยเสริมศักยภาพในการย่อยสลายใบไม้จากการทำแนวกันไฟป่าให้มีการย่อยสลายได้ดียิ่งขึ้น ลดการเป็นเชื้อเพลิงของไฟป่า และสลายเป็นอินทรียวัตถุและธาตุอาหารสำหรับต้นไม้ในป่า ช่วยให้ดินมีคุณภาพ และเสริมสร้างการกระจายของจุลินทรีย์ในป่าที่เสื่อมโทรมจากการเกิดไฟป่า การตัดไม้ทำลายป่าที่เสียสมดุลให้กลับมาฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้น วันนี้เป็นอีกกิจกรรมต่อเนื่องทุกปีของชุมชน ที่ร่วมใจกันทำแนวกันไฟป้องกันไฟป่าและลด PM 2.5 และฟื้นฟูป่าด้วยจุลินทรีย์ ณ ป่าชุมชนบ้านทุ่งยาว ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่

นายจิรศักดิ์ มีสัตย์ กล่าวว่า บริษัท GULF และ CMWTE ตระหนักว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และมีนโยบายชัดเจนในการร่วมกับชุมชนรักษาสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน ป่าชุมชนนับเป็นแหล่งทรัพยากรทางเศรษฐกิจ การอาชีพ และแหล่งอาหารที่สำคัญของชุมชน เราจึงอาสาเข้ามาร่วมสนับสนุนชุมชน รวมทั้งประสานองค์ความรู้จากนักวิชาการและหน่วยงานต่างๆ เข้ามาเสริมสร้างศักยภาพในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชุมชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถพัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืนได้ เรารู้สึกยินดีที่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมชุมชน และยินดีสนับสนุนชุมชนต่อไป

นายสมพงค์ เจริญศิริ กำนันตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ชุมชนของเรามีวิถีชีวิตอาศัยและพึ่งพาป่าชุมชนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ป่าไม้คือชีวิตของพวกเราทุกคน ช่วงที่ผ่านมามีปัญหาการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมฯ จึงได้รวมกลุ่มกันอนุรักษ์ฟื้นฟูป่ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการทำแนวกันไฟป่าและการเฝ้าระวังการทำลายป่าฯ จนมีผลงานที่สามารถขึ้นทะเบียนผืนป่าแห่งนี้เป็นป่าชุมชนที่ดูแลโดยชุมชน ตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน และอยู่ระหว่างการทำโครงการคาร์บอนเครดิต รวมทั้งการทำแนวกันไฟป่าเป็นประจำทุกปี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และเอกชน

ประการหนึ่งที่สำคัญในกิจกรรมครั้งนี้ คือการส่งเสริมสนับสนุนจากบริษัทเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี จำกัด และหน่วยงานทางวิชาการ ที่นำองค์ความรู้ด้านฐานชีวภาพและจุลินทรีย์ฯ เป็นมิติใหม่ที่เสริมการดำเนินงานเชิงคุณภาพต่อระบบนิเวศได้เป็นอย่างดี เพราะเดิมเรามองเชิงกายภาพและปฏิบัติการบนพื้นดินเป็นหลัก ยังไม่มีความรู้ในเชิงชีวภาพ ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญมากต่อระบบนิเวศ ทำให้เรามองมิติของการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าไม้และเข้าใจระบบนิเวศป่าไม้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีแนวทางสู่การพัฒนาป่าชุมชนเชิงชีวนิเวศที่ยั่งยืนต่อไป ขอขอบคุณ GULF และ CMWTE และหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาร่วมสนับสนุนชุมชน ซึ่งเป็นกำลังใจและพลังที่จะขับเคลื่อนมากขึ้น ขอขอบคุณ

ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้เริ่มต้นจากการทำแนวกันไฟป่า และในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึง เราจะนำองค์ความรู้จากผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยทั้งในระดับสากลและประเทศไทย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น เกี่ยวกับเชื้อเห็ด “ไมคอร์ไรซ่า” ซึ่งเป็นเชื้อราที่มีความสำคัญต่อระบบเครือข่ายการเชื่อมโยงการเจริญเติบโตร่วมกันของรากพืชไม้ป่า และจุลินทรีย์ในดินชนิดต่างๆ ที่จะช่วยการเจริญเติบโต และสร้างภูมิคุ้มกันโรคพืช ยังช่วยสลายอินทรียวัตถุต่างๆ เป็นธาตุอาหารให้กับพืช ผ่านการอาศัยเกื้อกูลกับระบบรากพืช คือเชื้อราไมคอร์ไรซ่ากับรากต้นไม้ ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันตลอดอายุขัยของพืช เป็นต้นกำเนิดของเห็ดป่านานาชนิด เช่น เห็ดเผาะ เห็ดไคล เห็ดระโงก เห็ดตับเต่า เห็ดโคนปลวกฯลฯ

ศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ได้ร่วมกับชุมชนวางแผนในการนำเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซ่ากลับคืนสู่ป่า สร้างความสมดุล มีการเพาะเชื้อใส่ในกล้าไม้ปลูกเสริมในป่า และนำเชื้อเห็ดป่าไปกระจายสู่บริเวณรากต้นไม้ในป่า เพิ่มจุลินทรีย์ในผืนป่าเสื่อมโทรม และจะนำเมล็ดพันธุ์กล้าไม้ป่านำมาแช่จุลินทรีย์ เพิ่มอัตราการงอก และนำมาใส่ปั้นกับก้อนดินจุลินทรีย์และเชื้อเห็ด เพื่อนำไปกระจายสู่ป่าในช่วงฤดูฝนด้วย และยังมีแผนการนำเชื้อเห็ดป่าต่างๆ ให้ชุมชนนำไปเพาะในป่าใกล้ชุมชนและสวนไร่นา เพื่อเป็นแหล่งอาหารประเภทเห็ดในชุมชนครอบครัว จะสามารถทดแทนการเผาป่าหาเห็ดให้ลดลง อันเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดไฟป่าด้วย เป็นแนวทางในการลดปัญหาไฟป่าและลดผลกระทบจาก PM 2.5 ได้ต่อไป ซึ่งความสำคัญอยู่ที่ความรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยเฉพาะศูนย์เรียนรู้ฯ ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ จะช่วยเสริมสร้างพลังได้มากยิ่งขึ้น

นายอำเภอบ้านโฮ่ง ขอบคุณ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. ที่สนับสนุน ฮ.ทบ.MI-17

นายอำเภอบ้านโฮ่งขอบคุณศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์กองทัพบก MI-17 ควบคุมไฟป่าต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่คลี่คลายลงได้

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 ณ โรงเรียนธีรกานท์ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า (ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.) ได้สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์กองทัพบก MI-17 เข้าปฏิบัติการดับไฟป่าในพื้นที่อำเภอบ้านโฮ่ง หลังตรวจพบจุดความร้อน 9 จุด

นายจรัล มณีจันสุข นายอำเภอบ้านโฮ่ง ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลพ.4, หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ้านโฮ่ง, สถานีควบคุมไฟป่าบ้านโฮ่ง, ปลัดอำเภอบ้านโฮ่ง, สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอบ้านโฮ่งที่ 4, กำนันตำบลป่าพลู, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 บ้านห้วยหละ, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 บ้านแม่หาด, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านป่าพลู, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 บ้านใหม่พัฒนา, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 24 บ้านใหม่ศรีบุญเรือง, เครือข่ายกองอาสารักษาดินแดนตำบลป่าพลู, ชุดปฏิบัติการองค์การบริหารส่วนตำบลป่าพลู และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ตรวจสอบ

ผลการตรวจสอบพบว่าจุดความร้อนเกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 4 จุด และป่าสงวนแห่งชาติ 5 จุด ในตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง โดยจุดที่ 1 ถึง 9 อยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่างป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ บริเวณหมู่ 2 บ้านป่าพลู และหมู่ 3 บ้านห้วยหละ ลักษณะภูมิประเทศเป็นหน้าผาสูงชัน ทำให้ไฟป่าลุกลามอย่างรวดเร็ว

เพื่อควบคุมสถานการณ์ นายอำเภอบ้านโฮ่งได้ประสานขอรับการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ MI-17 จากกองทัพภาคที่ 3 โดยเฮลิคอปเตอร์ได้ปฏิบัติภารกิจทิ้งน้ำดับไฟป่าจำนวน 11 เที่ยวบิน ปริมาณน้ำรวม 38,500 ลิตร สามารถควบคุมไฟป่าในพื้นที่สูงชันได้เป็นส่วนใหญ่ สำหรับเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินได้เข้าควบคุมไฟป่าในบริเวณที่สามารถเข้าถึงได้ และทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลาม

นายจรัล มณีจันสุข นายอำเภอบ้านโฮ่ง กล่าวขอบคุณกองทัพภาคที่ 3 ที่สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ MI-17 เข้าควบคุมไฟป่าในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการสนับสนุนครั้งที่ 5 ทำให้สถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่คลี่คลายลงได้

จนท.ดับไฟป่าเสียชีวิต ล้มฟุบเพื่อนหามออกจากป่าห้วยแม่ทาย ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.ร่วมแสดงความเสียใจ

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า “ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.” แสดงความเสียใจต่อครอบครัวเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า อ.ปง จ.พะเยา หมดสติเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ ออกลาดตระเวนป้องกันและควบคุมไฟป่า บริเวณพื้นที่ซำเติม-ห้วยแม่ทาย ม.9 ต.ออย อ.ปง จ.พะเยา ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 ณ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของนายเอกชัย ไชยมงคล อายุ 33 ปี บ้านเลขที่ 10 หมู่ 12 ต.งิม อ.ปง จ.พะเยา ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ปฏิบัติงานให้กับทางราชการ ขณะออกลาดตระเวนป้องกันและควบคุมไฟป่า บริเวณพื้นที่ซำเติม-ห้วยแม่ทาย ม.9 ต.ออย อ.ปง จ.พะเยา ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ และหมดสติเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เบื้องต้น ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ได้มอบหมายให้มณฑลทหารบกที่ 34 เป็นผู้แทนนำพวงหรีดและมอบปัจจัยเพื่อแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียในครั้งนี้”