GULF-CMWTE หนุนชุมชนทุ่งยาว อำเภอดอยสะเก็ด สู้ PM 2.5 ฟื้นป่า

GULF CMWTE ผนึกกำลังชุมชนบ้านทุ่งยาว ดอยสะเก็ดฯ ลด PM 2.5 ทำแนวกันไฟ คืนสมดุลให้ป่าด้วยจุลินทรีย์  “ท่ามกลางวิกฤต PM 2.5 ที่คุกคามภาคเหนือ ชุมชนบ้านทุ่งยาว อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ได้ลุกขึ้นผนึกกำลังกับภาคเอกชนและหน่วยงานต่างๆ สร้างปรากฏการณ์ ‘ทุ่งยาวโมเดล’ ด้วยการทำแนวกันไฟและฟื้นฟูระบบนิเวศด้วยจุลินทรีย์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

วันที่ 23 มีนาคม 2568 ปัญหาไฟป่าและ PM 2.5 ในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงฤดูแล้ง ยังคงเป็นปัญหาวิกฤตอย่างต่อเนื่อง ชุมชนที่โดดเด่นในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ คือ ชุมชนบ้านทุ่งยาว ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ นำโดยกำนันสมพงค์ เจริญศิริ กำนันตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และได้ผนึกกำลังกับกลุ่มบริษัท GULF และโครงการโรงไฟฟ้าขยะ บริษัทเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี จำกัด (CMWTE) นำโดยนายจิรศักดิ์ มีสัตย์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ฯ และ ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน นักวิชาการ ในการร่วมส่งเสริมกับชุมชน จัดโครงการฯ และกองกำลังทหารจาก พัน.ป.7 นำโดยร้อยตรีมีนา แก้ววรรณะ หัวหน้าชุดปฏิบัติการผาลาด นำทหารเข้าร่วมกว่า 40 นาย

โครงการ “ทำแนวกันไฟและคืนสมดุลให้ป่าด้วยจุลินทรีย์” เป็นโครงการที่กำนันสมพงค์ เจริญศิริ และชาวบ้านได้ปฏิบัติการดูแลมาอย่างต่อเนื่องทุกปี สำหรับปีนี้ ภาคเอกชนและทหารได้เข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2567 ที่บริษัท GULF และ CMWTE ได้นำองค์ความรู้ด้านฐานชีวภาพและจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ มาจัดอบรมให้กับผู้นำชุมชนและประชาชน หมู่ 8 บ้านทุ่งยาว ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ในโครงการ “คืนสมดุลให้ป่าด้วยจุลินทรีย์” และสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชุมชนมีองค์ความรู้เกี่ยวกับฐานชีวภาพและระบบนิเวศฯลฯ และสามารถเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ นำมาช่วยเสริมศักยภาพในการย่อยสลายใบไม้จากการทำแนวกันไฟป่าให้มีการย่อยสลายได้ดียิ่งขึ้น ลดการเป็นเชื้อเพลิงของไฟป่า และสลายเป็นอินทรียวัตถุและธาตุอาหารสำหรับต้นไม้ในป่า ช่วยให้ดินมีคุณภาพ และเสริมสร้างการกระจายของจุลินทรีย์ในป่าที่เสื่อมโทรมจากการเกิดไฟป่า การตัดไม้ทำลายป่าที่เสียสมดุลให้กลับมาฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้น วันนี้เป็นอีกกิจกรรมต่อเนื่องทุกปีของชุมชน ที่ร่วมใจกันทำแนวกันไฟป้องกันไฟป่าและลด PM 2.5 และฟื้นฟูป่าด้วยจุลินทรีย์ ณ ป่าชุมชนบ้านทุ่งยาว ตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่

นายจิรศักดิ์ มีสัตย์ กล่าวว่า บริษัท GULF และ CMWTE ตระหนักว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และมีนโยบายชัดเจนในการร่วมกับชุมชนรักษาสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน ป่าชุมชนนับเป็นแหล่งทรัพยากรทางเศรษฐกิจ การอาชีพ และแหล่งอาหารที่สำคัญของชุมชน เราจึงอาสาเข้ามาร่วมสนับสนุนชุมชน รวมทั้งประสานองค์ความรู้จากนักวิชาการและหน่วยงานต่างๆ เข้ามาเสริมสร้างศักยภาพในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชุมชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถพัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืนได้ เรารู้สึกยินดีที่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมชุมชน และยินดีสนับสนุนชุมชนต่อไป

นายสมพงค์ เจริญศิริ กำนันตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ชุมชนของเรามีวิถีชีวิตอาศัยและพึ่งพาป่าชุมชนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ป่าไม้คือชีวิตของพวกเราทุกคน ช่วงที่ผ่านมามีปัญหาการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมฯ จึงได้รวมกลุ่มกันอนุรักษ์ฟื้นฟูป่ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการทำแนวกันไฟป่าและการเฝ้าระวังการทำลายป่าฯ จนมีผลงานที่สามารถขึ้นทะเบียนผืนป่าแห่งนี้เป็นป่าชุมชนที่ดูแลโดยชุมชน ตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน และอยู่ระหว่างการทำโครงการคาร์บอนเครดิต รวมทั้งการทำแนวกันไฟป่าเป็นประจำทุกปี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และเอกชน

ประการหนึ่งที่สำคัญในกิจกรรมครั้งนี้ คือการส่งเสริมสนับสนุนจากบริษัทเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี จำกัด และหน่วยงานทางวิชาการ ที่นำองค์ความรู้ด้านฐานชีวภาพและจุลินทรีย์ฯ เป็นมิติใหม่ที่เสริมการดำเนินงานเชิงคุณภาพต่อระบบนิเวศได้เป็นอย่างดี เพราะเดิมเรามองเชิงกายภาพและปฏิบัติการบนพื้นดินเป็นหลัก ยังไม่มีความรู้ในเชิงชีวภาพ ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญมากต่อระบบนิเวศ ทำให้เรามองมิติของการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าไม้และเข้าใจระบบนิเวศป่าไม้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีแนวทางสู่การพัฒนาป่าชุมชนเชิงชีวนิเวศที่ยั่งยืนต่อไป ขอขอบคุณ GULF และ CMWTE และหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาร่วมสนับสนุนชุมชน ซึ่งเป็นกำลังใจและพลังที่จะขับเคลื่อนมากขึ้น ขอขอบคุณ

ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้เริ่มต้นจากการทำแนวกันไฟป่า และในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึง เราจะนำองค์ความรู้จากผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยทั้งในระดับสากลและประเทศไทย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น เกี่ยวกับเชื้อเห็ด “ไมคอร์ไรซ่า” ซึ่งเป็นเชื้อราที่มีความสำคัญต่อระบบเครือข่ายการเชื่อมโยงการเจริญเติบโตร่วมกันของรากพืชไม้ป่า และจุลินทรีย์ในดินชนิดต่างๆ ที่จะช่วยการเจริญเติบโต และสร้างภูมิคุ้มกันโรคพืช ยังช่วยสลายอินทรียวัตถุต่างๆ เป็นธาตุอาหารให้กับพืช ผ่านการอาศัยเกื้อกูลกับระบบรากพืช คือเชื้อราไมคอร์ไรซ่ากับรากต้นไม้ ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันตลอดอายุขัยของพืช เป็นต้นกำเนิดของเห็ดป่านานาชนิด เช่น เห็ดเผาะ เห็ดไคล เห็ดระโงก เห็ดตับเต่า เห็ดโคนปลวกฯลฯ

ศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ได้ร่วมกับชุมชนวางแผนในการนำเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซ่ากลับคืนสู่ป่า สร้างความสมดุล มีการเพาะเชื้อใส่ในกล้าไม้ปลูกเสริมในป่า และนำเชื้อเห็ดป่าไปกระจายสู่บริเวณรากต้นไม้ในป่า เพิ่มจุลินทรีย์ในผืนป่าเสื่อมโทรม และจะนำเมล็ดพันธุ์กล้าไม้ป่านำมาแช่จุลินทรีย์ เพิ่มอัตราการงอก และนำมาใส่ปั้นกับก้อนดินจุลินทรีย์และเชื้อเห็ด เพื่อนำไปกระจายสู่ป่าในช่วงฤดูฝนด้วย และยังมีแผนการนำเชื้อเห็ดป่าต่างๆ ให้ชุมชนนำไปเพาะในป่าใกล้ชุมชนและสวนไร่นา เพื่อเป็นแหล่งอาหารประเภทเห็ดในชุมชนครอบครัว จะสามารถทดแทนการเผาป่าหาเห็ดให้ลดลง อันเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดไฟป่าด้วย เป็นแนวทางในการลดปัญหาไฟป่าและลดผลกระทบจาก PM 2.5 ได้ต่อไป ซึ่งความสำคัญอยู่ที่ความรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยเฉพาะศูนย์เรียนรู้ฯ ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ จะช่วยเสริมสร้างพลังได้มากยิ่งขึ้น

นายอำเภอบ้านโฮ่ง ขอบคุณ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. ที่สนับสนุน ฮ.ทบ.MI-17

นายอำเภอบ้านโฮ่งขอบคุณศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์กองทัพบก MI-17 ควบคุมไฟป่าต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่คลี่คลายลงได้

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 ณ โรงเรียนธีรกานท์ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า (ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.) ได้สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์กองทัพบก MI-17 เข้าปฏิบัติการดับไฟป่าในพื้นที่อำเภอบ้านโฮ่ง หลังตรวจพบจุดความร้อน 9 จุด

นายจรัล มณีจันสุข นายอำเภอบ้านโฮ่ง ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลพ.4, หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ้านโฮ่ง, สถานีควบคุมไฟป่าบ้านโฮ่ง, ปลัดอำเภอบ้านโฮ่ง, สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอบ้านโฮ่งที่ 4, กำนันตำบลป่าพลู, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 บ้านห้วยหละ, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 บ้านแม่หาด, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านป่าพลู, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 บ้านใหม่พัฒนา, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 24 บ้านใหม่ศรีบุญเรือง, เครือข่ายกองอาสารักษาดินแดนตำบลป่าพลู, ชุดปฏิบัติการองค์การบริหารส่วนตำบลป่าพลู และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ตรวจสอบ

ผลการตรวจสอบพบว่าจุดความร้อนเกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 4 จุด และป่าสงวนแห่งชาติ 5 จุด ในตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง โดยจุดที่ 1 ถึง 9 อยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่างป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ บริเวณหมู่ 2 บ้านป่าพลู และหมู่ 3 บ้านห้วยหละ ลักษณะภูมิประเทศเป็นหน้าผาสูงชัน ทำให้ไฟป่าลุกลามอย่างรวดเร็ว

เพื่อควบคุมสถานการณ์ นายอำเภอบ้านโฮ่งได้ประสานขอรับการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ MI-17 จากกองทัพภาคที่ 3 โดยเฮลิคอปเตอร์ได้ปฏิบัติภารกิจทิ้งน้ำดับไฟป่าจำนวน 11 เที่ยวบิน ปริมาณน้ำรวม 38,500 ลิตร สามารถควบคุมไฟป่าในพื้นที่สูงชันได้เป็นส่วนใหญ่ สำหรับเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินได้เข้าควบคุมไฟป่าในบริเวณที่สามารถเข้าถึงได้ และทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลาม

นายจรัล มณีจันสุข นายอำเภอบ้านโฮ่ง กล่าวขอบคุณกองทัพภาคที่ 3 ที่สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ MI-17 เข้าควบคุมไฟป่าในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการสนับสนุนครั้งที่ 5 ทำให้สถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่คลี่คลายลงได้

จนท.ดับไฟป่าเสียชีวิต ล้มฟุบเพื่อนหามออกจากป่าห้วยแม่ทาย ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.ร่วมแสดงความเสียใจ

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า “ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.” แสดงความเสียใจต่อครอบครัวเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า อ.ปง จ.พะเยา หมดสติเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ ออกลาดตระเวนป้องกันและควบคุมไฟป่า บริเวณพื้นที่ซำเติม-ห้วยแม่ทาย ม.9 ต.ออย อ.ปง จ.พะเยา ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 ณ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของนายเอกชัย ไชยมงคล อายุ 33 ปี บ้านเลขที่ 10 หมู่ 12 ต.งิม อ.ปง จ.พะเยา ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ปฏิบัติงานให้กับทางราชการ ขณะออกลาดตระเวนป้องกันและควบคุมไฟป่า บริเวณพื้นที่ซำเติม-ห้วยแม่ทาย ม.9 ต.ออย อ.ปง จ.พะเยา ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ และหมดสติเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เบื้องต้น ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ได้มอบหมายให้มณฑลทหารบกที่ 34 เป็นผู้แทนนำพวงหรีดและมอบปัจจัยเพื่อแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียในครั้งนี้”

พระหมาสง่า มอบโดรนสุดทันสมัยรุ่นล่าสุด เพื่อใช้ในภาระกิจไฟป่า ดอยสุเทพ – ปุย

พระมหาสง่า ชัยวงศ์ เจ้าอาวาสวัดผาลาด ร่วมกับมูลนิธิ-พ่อค้า- เชียงใหม่วนัสนันท์ รวมพลังมอบยาม ai ลอยฟ้า พร้อมกับมอบกล้องวงจรปิดใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จำนวนอีก 10 เครื่อง โดย ยาม ai ลอยฟ้า คืออากาศยานไร้คนขับรุ่นใหม่ล่าสุดเป็นโดรน ยี่ห้อ dji รุ่น Matic 4T 43 ให้กับหมู่บ้านบนดอยสุเทพ-ดอยปุย เพื่อใช้ ในการสังเกตการณ์ความปลอดภัยและไฟป่า

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 15:00 น พระมหาสง่า ชัยวงศ์ เจ้าอาวาสวัดผาลาด มูลนิธิครูบาเจ้าศรีวิชัย และคุณชัดชาญ เอกชัยพัฒนกุล (เฮียตั่ว) กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่วนัสนันท์ CEOโอ้กะจู๋ พร้อมคณะร้านลำดีตี้ขัวแดง ร่วมกับคณะศรัทธาประชาชน พ่อค้า ในเชียงใหม่ และจากทั่วสารทิศ ได้นำ โดรน ยี่ห้อ dji รุ่น Matic 4T 43 ไปมอบให้กับ ชาวบ้าน บ้านม้ง ดอยสุเทพปุย โดยมี นายเมธาพันธ์ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านม้งด้อยปุยรับมอบและดูแลโดรนดังกล่าว โดยมีคณะกำนันเอ กำนันตำบลสุเทพ และ เจ้าหน้าที่ จากศูนย์วิทยุการบินเชียงใหม่ ร่วมสังเกตการณ์ การมอบโดรนครั้งนี้

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ ทางคณะผู้มอบได้มอบอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) พร้อมกับกล้องวงจรปิดใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จำนวนอีก 10 เครื่อง ให้กับหมู่บ้านบ้านม้งดอยปุย เพื่อใช้ ในการสังเกตการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อไป สำหรับโดรน dji รุ่น Matic 4T ที่มอบให้ร่วมกับกล้องวงจรปิด มีมูลค่าโดยทั้งสิ้น 4 แสนกว่าบาท

ด้านพระมหาสง่า กล่าวว่า “เมื่อมีความต้องการสิ่งใดที่จำเป็น และเป็นประโยชน์แก่ประชาชน หมู่บ้านประเทศชาติก็ยินดีให้การสนับสนุน โดยต้องอาศัยแรงศรัทธาจากพ่อค้าประชาชนทั่วๆไป” ด้านคุณชัดชาญ เอกชัยพัฒนกุล (เฮียตั่ว) กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่วนัสนันท์ ได้กล่าวว่า “จากที่ได้มอบเครื่องเป่าลม เพื่อดับไฟป่าและสร้างแนวกันไฟ ป้องกันไฟป่า ที่ผ่านมา ทำให้ได้พบกับผู้ใหญ่บ้านบ้านม้งดอยปุย และ มีการ รับทราบถึงความจำเป็นที่ต้องใช้โดรนขนาดใหญ่ เพื่อมา ทำงานด้านการตรวจตรา การ เกิดไฟป่า และติดตาม ผู้กระทำความผิด สำหรับชาวบ้านบ้านม้งดอยปุย การมีอุปกรณ์ที่ดี เพื่อจะมาต่อสู้กับไฟป่า ทำให้หมู่บ้านดอยปุยของเราได้ปลอดภัยขึ้น”

สำหรับ DJI Matrice 4T คือโดรนรุ่นใหม่ล่าสุดจาก DJI ในซีรีส์ Matrice ที่ออกแบบมาสำหรับภารกิจเฉพาะทางที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับ การค้นหาและกู้ภัย มีกล้องถ่ายภาพความร้อนอินฟราเรดความละเอียดสูง (1280×1024) ทำให้สามารถตรวจจับความร้อนในพื้นที่กว้างได้อย่างแม่นยำ มีไฟเสริม NIR (Near-Infrared) ที่สามารถส่องสว่างวัตถุได้ไกลถึง 100 เมตร เครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ (Lidar) สำหรับตรวจจับวัตถุได้ไกลสูงสุด 1.2 กม. ทำให้ค้นหาผู้ประสบภัยได้ในทุกสภาพแสง การรักษาความปลอดภัยสาธารณะ :ใช้สำหรับการเฝ้าระวังพื้นที่กว้างขวาง หรือตรวจตราพื้นที่อันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความทนทานต่อทุกสภาพอากาศ
การจัดการทรัพยากร :ใช้สำหรับตรวจสภาพป่าไม้ เพื่อป้องกันไฟป่า

ทอ.นำเครื่องบิน AU-23A ติดตั้งกล้องตรวจจับความร้อน หวังควบคุมไฟป่าด้วยความรวดเร็ว

ภาคเหนือพบค่าฝุ่นละอองเกินเกณฑ์มาตรฐานส่งผลกระทบต่อสุขภาพ 10 จังหวัด ขณะที่ ทอ.นำเครื่องบินโจมตีธุรการแบบที่ 2 (บ.จธ.2) หรือ AU-23A พร้อมติดตั้งกล้องตรวจจับความร้อน FLIR STAR SAFIRE 380HD(HD-EO IR) ตรวจจับความร้อนหวังควบคุมไฟป่าด้วยความรวดเร็ว

วันที่ 19 มีนาคม 2568 เวลา 10.00 น. ที่ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 เปิดเผยว่า ศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้าได้ติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือล่าสุดพบว่าในวันนี้เกิดจุดความร้อน ในพื้นที่ 17 จว.ภาคเหนือจำนวน 194 จุด สูงสุดที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 55 จุด รองลงมาคือ จังหวัดตาก จำนวน 38 จุด และ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 37 จุด ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นป่าอนุรักษ์ จำนวน 95 จุด รองลงมาคือ ป่าสงวนฯ จำนวน 53 จุด และ พื้นที่เกษตร จำนวน 28 จุด โดยวันนี้มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 10 จังหวัด สูงสุดที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดน่านและจังหวัดเชียงใหม่

ซึ่งเมื่อวานนี้ศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้าได้จัดอากาศยานเข้าดับไฟร่วมกับหน่วยงานภาคพื้นอย่างต่อเนื่อง โดยกองทัพอากาศจัดเครื่องบินโจมตีธุรการแบบที่ 2 (บ.จธ.2) หรือ AU-23A พร้อมติดตั้งกล้องตรวจจับความร้อน FLIR STAR SAFIRE 380HD(HD-EO IR) ที่มีขีดความสามารถสูงในการตรวจจับความร้อน และกลุ่มควันไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำการบินลาดตระเวนถ่ายทอดสัญญาณ Video Downlink (VDL) แบบ REAL TIME ในการค้นหากลุ่มจุดความร้อนใน 17 จังหวัดของภาคเหนือ โดยตั้งฐานปฏิบัติการบินที่กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ และบินลาดตระเวนค้นหาพื้นที่ อำเภอห้างฉัตร,อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง และ อำเภอแม่วาง, อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ สามารถถ่ายทอดสัญญาณ VDL ได้ 100 % พบจุดความร้อนในพื้นที่เป้าหมายจำนวน 4 จุด ได้แก่ 1.18°25’54.52“N 99°14’27.61″E 47QNA2545037977 ตำบลเวียงตาล อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง, 2. 17°54’59.74″N 99°10’23.60″E 47QNV1834680966 ตำบลเสริมซ้าย อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง, 3. 18°9’12.14″N 98°42’31.68″E 47QMA6919907178 ตำบลบ้านตาล อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และ 4. 18°39’41.22″N 98°44’15.72″E 47QMA7233763388 ตำบลบ้านกาด อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยทั้ง 4 จุดมีความรุนแรงมาก จากนั้นหน่วยบิน 5011 ได้นำภาพและพิกัดเป้าหมายที่พบให้กับส่วนสนับสนุนการปฏิบัติการบินควบคุมไฟป่ากองทัพอากาศ เพื่อเข้าควบคุมไฟร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในส่วนของเฮลิคอปเตอร์ ฮ.ท.17 ของ กองทัพบกปฏิบัติการดับไฟป่าในพื้นที่ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ภายหลังตรวจพบจุดความร้อนบริเวณดังกล่าว 5 จุด โดยอากาศยานบินเติมน้ำที่อ่างเก็บน้ำห้วยมะนาวทิ้งน้ำดับไฟ จำนวน 11 เที่ยวบิน ปริมาณน้ำ 38,500 ลิตร

ขณะที่กรมฝนหลวงและการบินเกษตร โดยหน่วยดัดแปรสภาพอากาศเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM2.5) จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแพร่ และจังหวัดพิษณุโลก สนับสนุนอากาศยาน ชนิด CN จำนวน 2 ลำ , CASA จำนวน 5 ลำ และ Caravan 3 ลำ (รวม 17 เที่ยวบิน) โดยมีการปฏิบัติในพื้นที่ อำเภอฮอด อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่, อำเภอแม่สรวย อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย, 3. อำเภอเมืองพะเยา อำเภอดอกคำใต้ อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา และ พื้นที่สุดท้าย อำเภอเมืองปาน อำเภองาว อำเภอแม่ทะ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง โดยภาพรวมพบว่าค่า PM2.5 ในสถานีเป้าหมายมีแนวโน้มทรงตัว

ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.สนับสนุนอากาศยานดับไฟ พร้อมสร้างจิตสำนึกลดการเผา สร้างความชุ่มชื้นในอากาศ

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3  ส่วนหน้า (ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.) สนับสนุนอากาศยานดับไฟสำหรับจังหวัดที่เกิดจุดความร้อนในพื้นที่ที่กำลังทางภาคพื้นเข้าถึงยาก พร้อมสร้างจิตสำนึกลดการเผา สร้างความชุ่มชื้นในอากาศ

วันที่ 17 มีนาคม 2568 เวลา 09.00 น. ที่ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 เปิดเผยว่า ศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้าได้ติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือล่าสุดพบว่าในวันนี้เกิดจุดความร้อน ในพื้นที่ 17 จว.ภาคเหนือจำนวน 597 จุด สูงสุดที่ จังหวัดลำปาง 93 จุด รองลงมาคือ จังหวัดตาก 91 จุด และ จังหวัดพะเยา 64 จุด ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นป่าอนุรักษ์ ส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 12 จังหวัดและส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน

ปัจจุบันศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้ายังคงบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกองทัพบก กองทัพอากาศ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการสนับสนุนอากาศยานดับไฟสำหรับจังหวัดที่เกิดจุดความร้อนในพื้นที่ที่กำลังทางภาคพื้นเข้าถึงยาก เพื่อให้การควบคุมไฟแต่ละจุดเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้จากการติดตามสถานการณ์สาเหตุของไฟป่าส่วนใหญ่กว่า 90 % เกิดจากการหาของป่าของบุคคล ดังนั้นจึงมอบหมายให้จิตอาสาที่ผ่านการอบรมและชุดรณรงค์ได้ลงพื้นที่สร้างจิตสำนึกให้บุคคลเหล่านี้ไม่ใช้การเผาป่าเพื่อหาของป่า ตลอดจนให้หน่วยทหารเร่งสร้างความชุ่มชื้นเพื่อลดการเกิดหมอกควันอีกทางหนึ่งด้วย

ออกลาดตระเวนระวังไฟป่า จ๊ะเอ๋..มอดไม้ รวบได้ 1 ราย พร้อมของกลางไม้ประดู่แปรรูป

เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนาออกลาดตระเวนระวังไฟป่า เจอจะจะมอดไม้ เห็นเจ้าหน้าที่แตกกระเจิง รวบได้ 1 ราย พร้อมของกลางไม้ประดู่แปรรูป 9 แผ่น นำส่ง สภ.เชียงดาว ดำเนินคดี

วันที่ 15 มีนาคม 2567 นายอานนท์ กุลนิล หัวหน้าพื้นที่อนุรักษ์แบบบูรณาการเชิงพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 เวลาโดยประมาณ 22.00 น. พนักงานเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา นำโดย นายอานนท์ กุลนิล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติศรีลานนา พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติฯ ประกอบด้วย หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติศรีลานนาที่ ศล.1 (แม่แพง – ม่อนหินไหล) หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติศรีลานนาที่ ศล.2 (ปางมะเยา) หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติศรีลานนาที่ ศล.6 (ห้วยกุ่ม) หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติศรีลานนาที่ ศล.7 (ห้วยปุย) หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติศรีลานนาที่ ศล.11 (ห้วยแม่กว๊ะ) และสายตรวจส่วนกลางอุทยานแห่งชาติศรีลานนา ได้ร่วมกันออกตรวจลาดตระเวน ป้องกัน และปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ ตามที่ได้รับแจ้งจากพลเมืองดี ไม่ประสงค์ออกนาม แต่หวังสินบนนำจับ แจ้งว่า มีการลักลอบทำไม้ บริเวณป่าหย่อมบ้านกิ่วไฮ หมู่ที่ 11 ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณ พิกัดที่ 47Q 511612E UTM 2145504N โดยใช้รูปแบบการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (SMART Patrol) วิธีการเข้าดักซุ่มในเวลา 20.00 น.

ต่อมาเวลา 22.00 น. ได้ยินเสียงเครื่องเลื่อยโซ่ยนต์ดังขึ้นบริเวณป่าดังกล่าว จึงร่วมกันวางแผนเข้าดำเนินการเข้าจับกุม โดยได้แสดงตนเข้าทำการจับกุม ขณะแสดงตน พบว่า มีกลุ่มบุคคล ได้วิ่งหลบหนี จึงได้วิ่งไล่ติดตาม และสามารถจับกุมตัวได้ 1 คน ต่อมาทราบชื่อภายหลังคือ นายคำปา ที่อยู่หมู่ที่ 2 ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนที่เหลือได้อาศัยความชำนาญในพื้นที่วิ่งหลบหนีไปได้ พร้อมทั้งเข้าดำเนินการตรวจสอบพื้นที่และบริเวณโดยรอบ พบว่ามีไม้กระยาเลย (ไม้ประดู่แปรรูป) โดยไม่มีรอยรูปรอยตราที่ตีประทับของพนักงานเจ้าหน้าที่ จำนวน 9 แผ่น/ชิ้น ปริมาณรวม 2.63 ลบ.มล. คิดมูลค่าความเสียหายของรัฐเป็น 78,900 บาท

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ฯ ได้ร่วมกันพิจารณา และแจ้งผู้ต้องหา ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ จึงได้ร่วมกันตรวจสอบ/ตรวจยึดไม้ประดู่แปรรูป รวมทั้งสิ้น 9 แผ่น/ชิ้น ปริมาณรวม 2.63 ลบ.มล. คิดมูลค่าความเสียหายของรัฐเป็น 78,900 บาท พร้อมทั้งตีรูปรอยตราที่ตีประทับ ต 8904 ย 1653 ตีประทับไว้ที่ไม้ของกลางดังกล่าว เป็นที่เรียบร้อย ไม้ประดู่แปรรูปอยู่ในลำดับที่ 87 ตามบัญชีไม้ของกลางแนบมาท้ายบันทึกฉบับนี้ พร้อมจัดทำเรื่องราวร้องทุกข์กล่าวโทษนำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีกับ นายคำปา ปุกคำ และหาตัวผู้กระทำผิดที่วิ่งหลบหนีไปมาดำเนินคดีตามระเบียบกฎหมายต่อไป

ปปช ตรวจสอบการใช้งบประมาณไฟป่าของเชียงใหม่

ป.ป.ช.เชียงใหม่ จัดโครงการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต ตรวจสอบการใช้งบประมาณโครงการสนับสนุนภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในจังหวัดเชียงใหม่ให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส ผอ.ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงใหม่ เผย มีเรื่องร้องเรียนจากโครงการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก เข้ามาที่สำนักงาน ปปช.จังหวัดเชียงใหม่ 11 เรื่องเป็นโครงการปลูกป่า และทำแนวกันไฟ

นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ ปักหมุดพื้นที่เสียงต่อการทุจริตในพื้นที่จังหวัด เพื่อต่อต้านการทุจริต พัฒนาแผนที่พื้นที่เสียงต่อการทุจริตที่มาจากการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายที่ไม่ทนต่อการทุจริต พร้อมเป็นฐานข้อมูลนำมาใช้ประโยชน์ในการวางแผน และกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา เพื่อลดความเสียงต่อการทุจริตของสำนักงาน ป.ป.ช. โดยมีนายนิรันดร ศรีภักดี ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงใหม่ , นายปิยะพงษ์ ประพันธ์วัฒนะ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ , นายกริชสยาม คงสตรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เชียงใหม่ , ว่าที่พันตรีนรินทร์ ปิ่นสกุล ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ ที่ 1 และนายพงษ์ศักดิ์ แก้วแสนเมือง ผอ.กลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัด สำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ เครือข่ายภาคประชาชน ภาคเอกชน เข้าร่วมกิจกรรม

ทั้งนี้ ปัญหาการทุจริต เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานในประเทศไทย และส่งผลต่อการค้า การลงทุน ทั้งภายในและต่างประเทศ ดังเช่น ผลการประเมินดัชนีการรับรู้การทุจริต(Corruption Perception Index: CPI) ประจำปี 2567 ประเทศไทยได้ 34 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 5 ของกลุ่มประเทศอาเซียน ในการนี้สังคมไทยยังคงส่งเสริมและดำเนินการให้คนภายในประเทศยังคงแสดงจุดยืนที่จะไม่ทนต่อการทุจริตต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการสนับสนุนภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันดำเนินการไปด้วยความสุจริต สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้จัดโครงการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตขึ้นในวันนี้ เพื่อตรวจสอบการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งการทุจริตในการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรม ที่เกี่ยวกับการใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่มาร่วมงาน นำข้อมูลที่ได้รับจากการเข้าร่วมโครงการไปใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบระเบียบขั้นตอนต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาดในการดำเนินการด้านการใช้งบประมาณ สร้างความเข้มแข็ง สร้างความโปร่งใส ในเรื่องการบริหารราชการ ดูแลพี่น้องประชาชนอย่างสุจริต มีคุณธรรม พร้อมเป็นหูเป็นตา เพื่อให้องค์กรทำงานได้อย่างถูกระเบียบและโปร่งใส ตรวจสอบได้

ด้านนายนิรันดร ศรีภักดี ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สำหรับโครงการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต ทางสำนักงาน ปปช.จังหวัดเชียงใหม่ จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการปฏิบัติหน้าที่ ที่บกพร่อง ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน หรือเกิดจากขาดความระมัดระวังจนเกิดการทุจริตในการดำเนินโครงการ การใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งทาง ปปช.เน้าย้ำในการป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาการร้องเรียนฯ ซึ่งจากสถิติการร้องเรียนที่เข้ามาสำนักงาน ปปช.เชียงใหม่ ปีหนึ่งมีหลายร้อยเรื่อง ซึ่งในส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของโครงการ การปลูกป่า และการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าฯ ซึ่งทาง ปปช.ก็เข้าใจว่าหน่วยงานต่างในจังหวัดเชียงใหม่ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟ ทำให้เจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าฯอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันได้มีปัญหาร้องเรียนในการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลและรับฟังปัญหาในการจัดซื้อ จัดจ้างโครงการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก หลังจากวันนี้ทาง ปปช.จะได้ลงพื้นที่ไปสุ่มตรวจ และติดตามว่าโครงการต่างๆที่ได้จัดขึ้นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ ซึ่งล่าสุดมีเรื่องร้องเรียนจากโครงการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก เข้ามาที่สำนักงาน ปปช.จังหวัดเชียงใหม่ 11 เรื่องเป็นโครงการปลูกป่า และทำแนวกันไฟ บางเรื่องได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว บางเรื่องยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและตรวจสอบ ซึ่งรายละเอียดการร้องเรียนจะเป็นกรณีการจัดซื้อ จัดจ้าง การปลูกป่า ส่วนของโครงการทำแนวกันไฟป่า ก็จะมีเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างการทำสัญญาจ้างกับบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง และมีการเบิกจ่ายงบประมาณเป็นเท็จหรือไม่ เป็นต้น

อากาศยานช่วยดับไฟ 2 จังหวัด ด้านฝนหลวงเร่งดัดแปรสภาพอากาศบรรเทาปัญหาฝุ่น (PM2.5)

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า (ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.) จัดอากาศยานช่วยดับไฟ 2 จังหวัด ขณะที่ กรมฝนหลวงเร่งดัดแปรสภาพอากาศเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM2.5) จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแพร่

วันที่ 15 มีนาคม 2568 เวลา 13.30 น. ที่ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 เปิดเผยว่า ศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า ได้รับการร้องขอใช้อากาศยานในการดับไฟจากอนุรักษ์อุทยานแห่งชาติศรีลานนาเนทาองจากช่วงเช้าเกิดจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 2 จุด บริเวณป่าบ้านออน หมู่ที่ 1 ตำบลปิงโค้งอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ พิกัดที่ 47Q 512995E UTM 2156871N และ พิกัดที่ 47Q 511957E UTM 2161264N ซึ่งพื้นที่อนุรักษ์แบบบูรณาการเชิงพื้นที่ โดยที่ผ่านมาทางอุทยานแห่งชาติศรีลานนา ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมจุดความร้อนเพื่อเฝ้าระวังไฟป่าในบริเวณที่สามารถเข้าถึงได้ แต่เนื่องจากพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันบางจุดเป็นหน้าผา และบางจุดมีปริมาณเชื้อเพลิงจำนวนมาก ยากในการเข้าควบคุมประชิดดับไฟป่า ซึ่งเป็นจุดความร้อนที่ยังควบคุมไม่ได้ ทางอุทยานฯจึงของใช้เฮลิคอปเตอร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าทิ้งน้ำดับไฟป่าทางภาคพื้นอากาศ จนกว่าจะสามารถควบคุมไฟได้

ส่วนทางด้าน อำเภอฮอด ศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า ได้ใช้เฮลิคอปเตอร์ MI-17 เข้าดับไฟในพื้นที่ป่าบ้านโฮ่ง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากเกิดจุดความร้อน จำนวน 4 จุด ได้แก่จุดที่1 47QMV 77092 93798, จุดที่ 2 47QMV 76717 94312, จุดที่ 3 47QMV 76815 94735 และ จุดที่ 4 47 QMV 77395 95066 และ ทางอากาศยานจะเติมน้ำดับไฟที่ อ่างเก็บน้ำห้วยสะแพด หมู่ 9 ตำบลแม่สอย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และอ่างเก็บน้ำบ่อขยะบ้านตาล ตำบลบ้านตาล อำเภอฮอด

สำหรับเฮลิคอปเตอร์ KA-32 (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ช่วงบ่ายวันนี้ เข้าดับไฟในพื้นที่เป้าหมาย บ้านแม่หาด หมู่ที่ 6 บ้านดอยโตย หมู่ที่ 10 ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน เนื่องจากเกิดจุดความร้อนในป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ ที่สำคัญมีลักษณะเป็นเขาสูงชันและป่าลึกหลายจุด ซึ่งที่ผ่านมานายจรัล มณีจันสุข นายอำเภอบ้านโฮ่งได้จัดกำลังภาคพื้นจากฝ่ายปกครองและหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลพ.4 บ้านโฮ่ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเข้าตรวจสอบเพื่อระงับเหตุ แต่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเฮลิคอปเตอร์ KA-32 (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) จะใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยป่าซางอ่อน อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ในการปฏิบัติภารกิจดังกล่าว

ในส่วนของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เร่งแผนบินดัดแปรสภาพอากาศเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM2.5) จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแพร่ (เพิ่มเติม)โดยเครื่องบิน CASA โดยสารฝนหลวงสูตร 3 จำนวน 1,000 กก. ความสูง 8,300 ฟุต บริเวณ อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ส่วนปฏิบัติการบินที่ 5 โดยเครื่องบิน CASA ใช้น้ำปรับลดอุณหภูมิ จำนวน 1,000 กก. ความสูง 8,300 ฟุต บริเวณ อ.เถิน จ.ลำปาง และปฏิบัติการบินที่ 6 โดยเครื่องบิน CARAVAN จำนวน 2 ลำ โดยสารฝนหลวงสูตร 3 จำนวน 1,400 กก. ความสูง 8,300 ฟุต บริเวณ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่อนสอน ส่วนปฏิบัติการบินที่ 7 โดยเครื่องบิน CN จำนวน 1 ลำ ใช้น้ำปรับลดอุณหภูมิ จำนวน 2,000 กก. ความสูง 8,300 ฟุต บริเวณ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน

ประชุมการใช้อากาศยาน 7 หน่วยงานหลัก หวังเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานช่วงเดือนเมษายน

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า (ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.)จัดประชุมการใช้อากาศยาน 7 หน่วยงานหลัก หวังแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ช่วงเดือนเมษา

วันที่ 13 มีนาคม 2568 ที่ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้าจัดประชุมการใช้อากาศยานจาก 7 หน่วยงานหลัก ประกอบด้วย เฮลิคอปเตอร์ MI-17 จากกองทัพบก, อากาศยาน BT-67 (กองทัพอากาศ) ,อากาศยาน KA -32 จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ,เฮลิคอปเตอร์จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม,หน่วยบินตำรวจเชียงใหม่ รวมทั้งเครื่องบินจากกรมฝนหลวงและการบินเกษตร หน่วยโดรนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติภารกิจตลอดจนร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการทำงานในห้วงที่ผ่านมา เพื่อให้การแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือเป็นไปอย่างรวดเร็วและเกิดประโยชน์ต่อพื้นที่มากที่สุด คาดว่าสถานการณ์จะเริ่มรุนแรงขึ้นตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมไปจนถึงกลางเดือนเมษายน

ทั้งนี้รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ได้เน้นย้ำหน่วยควบคุมอากาศยาน ที่จะออกปฏิบัติการดับไฟป่าในแต่ละพื้นที่ จะต้องประสานงานกับหน่วยภาคพื้นดินให้ชัดเจนสอดคล้อง ชี้จุดให้ตรงเป้าหมาย เพื่อดับไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญการปฏิบัติงานแต่ละครั้งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยทั้งของนักบิน อากาศยานและทุกฝ่าย นอกจากนี้ยังได้ขอให้นำเทคโนโลยีมาใช้ตรวจสอบ hotspot ให้ชัดเจนก่อนอนุมัติใช้อากาศยาน เพราะแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณสูง อาทิ การใช้โดรนตรวจจับความร้อน และแอพพลิเคชั่น Fire Man ที่ทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พัฒนาขึ้น ซึ่งจะช่วยแจ้งเตือนจุดที่เจ้าหน้าที่ดับไฟเข้าไปปฏิบัติงานอยู่

อย่างไรก็ตามวันนี้เป็นวันแรกของการปรับแผนปฏิบัติงานในการใช้อากาศยาน ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า หลังกองทัพอากาศได้นำอากาศยาน peacemaker เข้ามาเสริมกำลังในการบินลาดตระเวนตรวจสอบจุดความร้อนแบบ real time ทุกวันในช่วงเช้า เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของดาวเทียม โดยจะรายงานสถานการณ์จุดความร้อนที่รุนแรงให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอสนับสนุนการใช้อากาศยานเข้าดับไฟ ซึ่งจะช่วยให้ได้พิกัดดับไฟที่ชัดเจน และดับไฟได้เร็วก่อนลุกลามขยายวงกว้างยากต่อการดับ