ทบ.ยกระดับช่วยดับไฟภาคเหนือส่ง mi -17 รับสถานการณ์

กองทัพบกเตรียมยกระดับการแกัไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ  ส่งหน่วยบินทหารบกยุทธวิธีที่ 3 สนับสนุน เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ 17 พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำอากาศยานและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้องและถุงบรรจุน้ำแบบพับได้เข้ามาประจำการที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า จำนวน 1 ลำ

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา ที่ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม ศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า รายงานว่า กองทัพบกเตรียมยกระดับการแกัไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ โดยอนุมัติให้หน่วยบินทหารบกยุทธวิธีที่ 3 สนับสนุน เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ 17 พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำอากาศยานและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้องและถุงบรรจุน้ำแบบพับได้เข้ามาประจำการที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า จำนวน 1 ลำ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานตามแผนโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประจำปี 2568 ที่กองพลทหารราบที่ 7 อ.แม่ริม จว.ช.ม.และพร้อมให้การสนับสนุนภารกิจได้ทันที เมื่อได้รับการประสานขอใช้งานจากหน่วยงานและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จนกว่าจะจบภารกิจ

จากการตรวจสอบจากสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือของ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. ในเวลา 07.00 น. พบว่าเกิดจุดความร้อน จำนวน 42 จุด สูงสุดที่ จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 21 จุด รองลงมาคือ จังหวัดเชียงใหม่, จังหวัดตากจำนวน 5 จุด และ จังหวัดพะเยา จำนวน 4 จุด ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นเขต สปก. จำนวน 13 จุด รองลงมาคือ ป่าอนุรักษ์ จำนวน 12 จุด และ พื้นที่เกษตร จำนวน 11 จุด

ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก เกินเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 13 จังหวัด สูงสุดที่ ต.ในเมือง อ.เมือง จังหวัดพิษณุโลก 58.40 มคก./ลบ.ม. รองลงมาที่ ต.แม่ป่ะ อ.แม่สอด จังหวัดตาก 48.40 มคก./ลบ.ม. และ ต.ห้วยโก๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน 47.80 มคก./ลบ.ม. (เริ่มมีผลต่อสุขภาพ)

ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 20 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดจุดความร้อนสะสมจำนวน 14,364 จุด เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา จำนวน 6,111 จุด คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.60 ในขณะที่จังหวัดเชียงใหม่มีจำนวนวันเกินเกณฑ์มาตรฐานจำนวน 18 วัน จากปี 67 ( 12 วัน ) คิดเป็นร้อยละเพิ่มขึ้น 33.33

กองทุนดีอี BDE จัดกิจกรรม “ป่าปลอดภัย เมืองปลอดฝุ่น” ทำแนวกันไฟ ปลูกป่า มอบอุปกรณ์ป้องกันไฟป่า ที่เชียงดาว

กองทุนดีอี BDE จับมือป่าไม้ ทหาร ผู้นำชุมชน จัดกิจกรรมป่าปลอดภัย เมืองปลอดฝุ่น ทำแนวกันไฟ ปลูกป่า มอบอุปกรณ์ป้องกันไฟป่า ที่เชียงดาว หนุนชุมชนป้องกันภัยตามธรรมชาติ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2568) นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) เป็นประธานเปิดกิจกรรมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (Corporate Social Responsibility : CSR) ภายใต้ชื่อกิจกรรม “DEF Forest Fire Break ป่าปลอดภัย เมืองปลอดฝุ่น” จัดโดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี : DEF) ณ ป่าชุมชนบ้านถ้ำเชียงดาว ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ. เชียงใหม่ พร้อมด้วยผู้บริหารและบุคลากร BDE/DEF เข้าร่วมกิจกรรม โดยมี นายรังสิต พูลศรี หัวหน้าหน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้เชียงดาว นายนิคม พุทธา ประธานกลุ่มอนุรักษ์แม่น้ำปิง ร.อ.วัชรา ธวัชไชย นายทหารฝ่ายกิจการพลเรือน ฉก.ไชยานุภาพ นายคำรณ อินต๊ะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมในพิธีเปิด

 

ภายในกิจกรรมได้ร่วมกันทำแนวกันไฟ ระนะทาง 2 กิโลเมตร ในเขตพื้นที่ป่าชุมชน จากนั้นได้มอบเงินสนับสนุน พร้อมเครื่องเป๋าลม อุปกรณ์ดับไฟป่า อาหารแห้ง ยารักษาโรคให้กับชุมชน เพื่อใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่และร่วมกันปลูกต้นไม้ สร้างความร่มรื่นให้กับผืนป่า

นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการ ดีอี กล่าวว่า กองทุนดีอี เป็นหน่วยงานภายใต้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ BDE ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการจัดสรรเงินทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุนสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อันเป็นประโยชน์ต่อการให้บริการสาธารณะและไม่เป็นการแสวงหากำไร พร้อมกันนี้ในส่วนของบทบาทของการสร้างประโยชน์ต่อสังคม ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่กองทุนฯ ให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน

สำหรับการดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการจัดกิจกรรมครั้งที่ 2 ซึ่งครั้งแรกจัดที่ จ.อุบลราชธานี โดยจัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของกองทุนฯ ในการทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มีความรับผิดชอบ และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสังคม การจัดกิจกรรมในวันนี้จึงถือเป็นหนึ่งในความตั้งใจของ กองทุนฯ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับชุมชน พร้อมกับการตระหนักถึงการป้องกันภัย อันตรายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ทั้งนี้ ในส่วนของกิจกรรมประกอบด้วย จิตอาสาร่วมกันทำแนวกันไฟ ระยะทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร การปลูกต้นไม้เพิ่มเติมให้กับผืนป่า และกองทุนดีอี ยังได้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำแนวกันไฟ อุปกรณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมถึงทุนสนับสนุนในการดำเนินงานของชุมชน ให้แก่ทางชุมชนบ้านถ้ำเชียงดาว ซึ่งคาดหวังว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป

นอกจากนี้ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ถึงนโยบายและพันธกิจของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ที่จะส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน ได้นำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและส่วนรวม ซึ่งทุกปีจะมีงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยและการพัฒนาด้านเทคโนโลยีกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถนำเสนอโครงการเพื่อเข้าสู่การพิจารณาสนับสนุนได้

“ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคีเครือข่าย ชาวชุมชนบ้านถ้ำเชียงดาว และชาวอำเภอเชียงดาว รวมถึงเจ้าหน้าที่ของกองทุนฯ และอาสาสมัครทุก ท่านที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนจนกิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นได้และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมในวันนี้จะ สร้างประโยชน์และแรงบันดาลใจให้แก่ทุกท่าน และช่วยสานต่อเป้าหมายของกองทุนฯ ในการขับเคลื่อน ประเทศไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มีความยั่งยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไปพร้อมกับการดูแลรักษา สิ่งแวดล้อมของประเทศเราไปด้วย”

นายคำรณ อินต๊ะ อายุ 57 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 กล่าวว่า ราษฎรในหมู่บ้านแห่งนี้ มีจำนวน 775 คน 365 ครัวเรือน ป่าชุมชนบ้านถ้ำ พื้นที่ 1,265 ไร่ พื้นที่แนวกันไฟ 4 กม. ในวันนี้ทำก่อน 2 กม. สภาพป่าเป็นป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ชาวบ้านรวมกลุ่มทำป่าชุมชนเริ่มตั้งแต่ปี 64 ช่วงปิดป่าป้องกันไฟป่า ชาวบ้านก็นำป่าชุมชนมาทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว ให้ชาวบ้านเป็นไกด์ เพราะในป่านอกจากพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด ยังมีพืชสมุนไพร มีนก ให้นักท่องเที่ยว ให้ได้ชมด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมบวชป่า เพื่ออนุรักษ์ป่าอย่างยั่งยืน

ผอ เขตพื้นที่การศึกษาช่วยเหลือเด็กนักเรียนโรงเรียนเรือแพที่ถูกไฟไหม้บ้าน

ผู้อำนวยการ สพป.ลำพูน 2 นำเงินกองทุนช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ประสบความยากลำบาก ช่วยเหลือครอบครัวเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 3 นักเรียนโรงเรียนเรือพแพ ต.ก้อ อ.ลี้ ที่ถูกไฟไหม้บ้านแพกลางน้ำวอดทั้งหลัง ให้ครอบครัวของเด็กนักเรียนที่ปประสบภัย พักอาศัยที่โรงเรียนเรือนแพชั่วคราวเนื่องจากทั้ง 3 คนไม่มีที่อยู่อาศัย ขณะที่ชาวบ้านชาวในพื้นที่ยังหวัดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดไฟป่าภูเขาหลังโรงเรียนเรือนแพเกรงว่าจะลุกลามไหม้โรงเรียนซ้ำรอย

จากรณี เพจเฟสบุ๊ค ของผู้ที่ใช้ชื่อว่าครูน้อย เรือนแพ หรือนายปริญญา ขันอาษา โพสต์คลิบวีดีโอขณะที่เกิดเพลิงไหม้บ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านเรือนแพ ลอยอยู่กลางแม่น้ำปิง ใกล้กับโรงเรียนก้อจัดสรร ห้องเรียนสาขาโรงเรียนเรือนแพ ต.ก้อ อ.ลี้ จ.ลำพูน ต่อมาครูน้อยได้บรรยายในคลิบวีดีโอว่าเป็นบ้านของ น้อง เฟรมนักเรียน ชั้นอนุบาล 3 เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงเย็นเมื่อวานนี้ ก่อนเกิดเหตุผู้ปกครองของน้องเฟรม ได้มารับลูกสาวที่โรงเรียนกลับไปที่บ้านได้ไม่นานก็ได้เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นเมื่อช่วงเวลา 5 โมงเย็น ขณะเกิดเหตุครูน้อย เห็นว่าเกิดไฟไหม้บ้านน้องเฟรมจึงนำนักเรียนที่โรงเรียนสวมเสื้อชูชีพนั่งเรือยนต์ ไปช่วยเหลือน้องเฟรมที่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 1 กม. ซึ่งขณะนั้นน้องเฟรมพร้อมแม่ และพ่อ ได้หลบออกมาจากบ้านอยู่บนเรือ และร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งน้องเฟรมและครอบครัวปลอดภัยดี แต่บ้านที่พักอาศัย ทุกอย่างได้รับความเสียหายหมด ส่วนสาเหตุเกิดจากแม่ทำกับข้าวทิ้งไว้แล้วลืมปิดแก๊ส

ล่าสุด ดร.ดวงใจ ถวิลไพร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูนเขต 2 พร้อมด้วยผู้บริหาร กำนันผู้ใหญ่บ้าน และผู้อำนวยการโรงเรียนก้อจัดสรร ผู้นำชุมชน ได้นั่งเรือเข้าพื้นที่นำข้าวของเครื่องใช้และเงินกองทุนช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ประสบความยากลำบาก ศูนย์ความปลอดภัย สพป.ลำพูน 2 ไปมอบให้กับผู้ปกครองของน้องเฟรม พร้อมกันนี้ได้เยี่ยมให้กำลังใจกับนายปริญญา ขันอาษา หรือครูน้อย ครูโรงเรียนเรือนแพ ที่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการให้ความช่วยเหลือครอบครัวน้องเฟรมขณะเกิดเหตุ พร้อมกันนี้ได้กำชับให้ครูน้อยดูแลเด็กนักเรียนอย่างเต็มที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเฝ้าระวังการเกิดอุบัติเหตุ

ขณะที่ โรงเรียนก้อจัดสรร ได้โพสต์เฟสบุ๊คเปิดรับบริจาคครอบครัวของน้องเฟรม ระบุว่า โรงเรียนบ้านก้อจัดสรร เชิญร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือบ้าน(แพ)นักเรียนไฟไหม้ เด็กหญิงจรัญญา หล้าบัววงค์ (น้องเฟรม) นักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนบ้านก้อจัดสรร สาขาห้องเรียนเรือนแพ โดยผ่านบัญชีผู้ปกครองโดยตรง ชื่อบัญชี นายไพรบูณร์ หล้าบัววงค์ เลขบัญชี 012472825570 ธนาคาร ธกส. สาขาลี้

ด้านนายปริญญา ขันอาษา หรือครูน้อยเล่าว่าวันที่เกิดเหตุผู้ปกครองของน้องเฟรมได้นั่งเรือมารับน้องที่โรงเรียนหลังจากนั้นไม่นานตนเห็นว่าเกิดไฟลุกไหม้ที่บ้านของน้องเฟรมซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 1 กม.จึงตกใจมากกลัวว่าน้องและคนในครอบครัวจะได้รับอันตราย ตนจึงเรียกให้เด็กนักเรียที่อยู่ในโรงเรียนรีบสวมเสื้อชูชีพนั่งเรือไปช่วยเหลือแต่ก็ช้าไปเนื่องจากไฟได้ไหม้อย่างรวดเร็ว ส่วนสาเหตุทราบว่าเกิดจากการที่เปิดเตาแก๊สทิ้งไว้แล้วลืมปิด ประกอบกับบนเรือนแพที่เกิดเหตุมีน้ำมันเบนซินที่เติมเครื่องยนต์เรืออยู่หลายแกลลอนและตัวแพทำจากไม้ทำให้ไฟไหม้อย่างรวดเร็ว หลังเกิดเหตุคุณพ่อของน้องเฟรมยังอยู่ในอาการช็อค กับเหตุการณืที่เกิดขึ้น ครูน้อยได้ประสานไปยังชาวบ้านบนฝั่งนำรถกู้ชีพมารับพ่อน้องเฟรมและภรรยาลูกสาวไปอยู่บ้านบนบกที่บ้านก้อท่า ต.ก้อ อ.ลี้ แล้วกลับมาสำรวจความเสียหายอีกครั้งในวันนี้

ซึ่งหลังจากเกิดเหตุตนได้สอนให้เด็กนักเรียนรู้จักการใช้เครื่องมือดับเพลิงและช่วยเหลือตนเองหากเกิดเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งเด็กนักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่ที่นี่เป็นเด็กนักเรียนกินนอนเนื่องจากผู้ปรกครองประกอบอาชีพทำประมง ตอนกลางคืนต้องออกไปวางเบ็ด วางตาข่ายจับปลา ส่วนตอนเช้ามืดก็จะนั่งเรือไปเก็บปลาที่ดักไว้

ขณะที่ ดร.ดวงใจ ถวิลไพร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูนเขต 2 เปิดเผยว่าโรงเรียนเรือนแพ ปัจจุบันมีเด็กนักเรียน 5 คน ประกอบด้วยชั้นอนุบาล 2 คน ชั้น ประถมศึกษารวม 3 คน หลังเกิดไฟไหม้บ้านน้องเฟรมจึงได้นำเงินเงินกองทุนช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ประสบความยากลำบาก มามอบให้กับผู้ปกครองนักเรียนเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น ซึ่งหลังจากนี้จะได้มีการระดมเงินช่วยเหลือครอบครัวน้องเฟรมระยะยาวอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากการลงพื้นที่มาดูทราบว่าบ้านที่ปลูกเป็นเรือนแพทั้ง 3 หลังประกอบด้วยห้องนอน ห้องครัว และห้องเก็บของและข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องมือทำประมง ถูกไฟไหม้จนไม่เหลือออะไรเลยจึงอนุญาตให้ครอบครัวน้องเฟรมพักอาศัยที่โรงเรียนเรือนแพไปก่อนจนกว่าจะมีการสร้างบ้านหลังใหม่ให้ครอบครัวน้อง ส่วนบุคคลภายนอกที่จะให้ความช่วยเหลือครอบครัวน้องเฟรมสามารถติดต่อให้ความช่วยเหลือโดยตรงที่โรงเรียนก้อจัดสรรหรือที่ผู้ปกครองน้องได้ ขณะเดียวกันทราบว่าขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้น้องเฟรมมีการผวาดผวาร้องไห้ จึงได้นำนักจิตวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูนเขต 2 มาพูดคุยและสังเกตอาการของน้องซึ่งขณะนี้น้องมีอาการดีขึ้นและพร้อมกลับมาเรียนหนังสือแล้ว

อย่างไรก็ตามขณะที่ผู้สื่อข่าวนั่งเรือเข้าพื้นที่โรงเรียนเรือนแพพบว่าเกิดไฟป่าขึ้นภูเขาด้านหลังโรงเรียนเป็นแนวยาวหลายจุดบางจุดใกล้กับอาคารโรงเรียนฯ ทำให้ผู้ปกครองเด็กนักเรียนต่างกังวลว่าไฟป่าจะลุกลามไหม้ตัวอาคารโรงเรียน ซ้ำรอยเนื่องจากตัวอาคารโรงเรียนเรือนแพมีขนาดใหญ่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายหากเกิดเหตุไฟป่าลุกลามโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลากลางคืนจะทำให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก

“ ร่วมใจสร้างแนวกันไฟ ต้านไฟป่า สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ”ที่อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า

เครือข่ายสานต่อการพัฒนาชนบทฯร่วมกับหน่วยทหาร ตำรวจและประชาชนจิตอาสาจัด กิจกรรม “ ร่วมใจสร้างแนวกันไฟ ต้านไฟป่า สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ”ที่อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 พลตรี ชายแดน กฤษณสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 เปิดกิจกรรม “ ร่วมใจสร้างแนวกันไฟ ต้านไฟป่า สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ”ที่อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี พ.อ. ยรรยง ทิพาปกรณ์ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ช.ม.(ท.) พ.อ.วรา อุตรพงศ์ เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 33 เสนาธิการกองพลทหารราบที่ 7 ,รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลดอนแก้ว นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตลอดจนประชาชนจิตอาสาเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 500 คน

รองแม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองได้สร้างผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชนและเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการผาทางการเกษตร การบุกรุกป่า ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆได้มีมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในพื้นที่โดยตลอด ใดยปีนี้เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนในพื้นที่ ซึ่งกิจกรรมในวันนี้ได้ร่วมจากเครือข่ายสานต่อการพัฒนาชนบท สนองแนวพระราชดำริฯ ตลอดจนนิสิตนักศึกษา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประชาชนจิตอาสา เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือไฟป่า ด้วยการจัดทำแนวกันไฟขึ้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยพึงเฒ่า ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญเนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นโครงการตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 10

ทั้งนี้ภายในงานดังกล่าวประธานเครือข่ายสานต่อการพัฒนาชนบท สนองแนวพระราชดำริฯ ได้มอบอุปกรณ์ในการสร้างแนวกันไฟให้กับหน่วยทหารในพื้นที่จำนวน 3 หน่วย และร่วมกันสร้างแนวกันไฟบริเวณพื้นที่ป่าโดยรอบอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า ระยะทาง 5 กิโลเมตร

กองทัพอากาศร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 นำอากาศยาน: BT-67 โปรยน้ำดับไฟในพื้นที่ อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน

กองทัพอากาศร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 นำอากาศยาน BT-67 สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อ.บ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. กองทัพอากาศร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 นำอากาศยาน BT-67 สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อ.บ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน เนื่องจากเกิดไฟป่าติดต่อมาหลายวัน ขณะที่หน่วยงานในจังหวัดเร่งดับไฟอย่างต่อเนื่อง โดยปัญหาที่พบเกิดจากบริเวณดังกล่าวเป็นภูเขาสูงชัน ยากต่อการเข้าควบคุมไฟ และเกินขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ภาคพื้นในการเข้าควบคุมไฟป่า

ทั้งนี้กองทัพอากาศ ได้ส่งเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 2 ก. (BT-67) จำนวน 1 เครื่อง จากกองบิน 46 จ.พิษณุโลก บินโปรยน้ำและสารควบคุมไฟป่า เพื่อสร้างแนวกันไฟที่มีทิศทางเข้าหาชุมชน รวมถึงเพื่อดับไฟอันเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ

อากาศยานแบบ BT-67 ถือเป็นเครื่องบินบรรเทาสาธารณภัย มีภารกิจหลักในการลำเลียง ทำฝนหลวง และ ช่วยดับไฟป่า  BT-67 ใช้เครื่องยนต์เทอร์ โบพรอป Pratt & Whitney PT6-67R ให้กำลัง 1,424 แรงม้า จำนวน 2 เครื่อง เพดานบิน: 25, 000 ฟุต ความเร็วสูงสุด: 398 กม./ชม. มีการเปลี่ยนระบบเครื่องวัด ระบบสื่อสารไฟฟ้า เชื้อเพลิง ฐานล้อ ระบบไฮดรอลิก เบรกและยางเป็นแบบใหม่ที่ทันสมัย ยืดลำตัวส่วนหน้าออกไปอีก 1 เมตร เปลี่ยนพื้นบังคับจากผ้าใบเป็นเหล็กทั้งหมด ซึ่งได้มารตฐาน จาก FAA และกองทัพสหรัฐฯ

ขณะที่ตลอดทั้งวันเกิดจุดความร้อนในพื้นที่ภาคเหนือจำนวน 841 จุด สูงสุดที่ จังหวัดลำปาง จำนวน 198 จุด รองลงมาคือ จังหวัดตาก จำนวน 128 จุด และ จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 83 จุด ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 419 จุด รองลงมาคือ ป่าสงวนฯ จำนวน 337 จุด และ เขต สปก. จำนวน 45 จุด ส่งผลให้ค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานแล้ว 15 จังหวัด สูงสุดที่ ต.บ้านต๋อม อ.เมือง จังหวัดพะเยา. 88.20 มคก./ลบ.ม.

น่องเหล็กกว่า 1,500 คน ร่วมงานอินทนนท์ คนพันธุ์อึด Inthanon Challenge ครั้งที่ 16

สมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพจอมทอง จัดกิจกรรมแข่งขันปั่นพิชิตอินทนนท์ คนพันธุ์อึด Inthanon Challenge ครั้งที่ 16 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาและอนุรักษ์ธรรมชาติของพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีนักปั่นน่องเหล็กพิชิตดอยอินทนนท์กว่า 1,500 คนร่วมแข่งขัน

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยนายสุรพลเกียรติ ไชยากร ที่ปรึกษารัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา ได้เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขันปั่นจักรยานพิชิตอินทนนท์ คนพันธุ์อึด Inthanon Challenge ครั้งที่ 16 ซึ่งสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพจอมทอง ได้จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาและอนุรักษ์ธรรมชาติของพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดยมีนักปั่นทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพเข้าร่วมแข่งขัน ระยะทางที่ยาวและเส้นทางขึ้นเขาที่มีความชันสูง ซึ่งในการจัดงาน INTHANON CHALLENGE ได้มีการแบ่งกลุ่ม นักปั่นจักรยานเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มแข่งขัน Race เพื่อความเป็นเลิศด้านกีฬา ระยะ 48 กม. ซึ่งได้รับการรับรองการจัดการแข่งขันจากสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมป์ 2. กลุ่มท้าทายตนเอง Challenge ระยะทาง 48 กม. เพื่อสร้างสถิติของตนเองเอาชนะใจตนเอง ในการฝึกฝน 3. กลุ่มปั่นท่องเที่ยวอินทนนท์ ระยะทาง 31 กม.โดยจะมีนักปั่นจักรยานกว่า 1,500 คนร่วมกิจกรรม

ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจจากนักปั่นทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการสร้างความตระหนักถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทั้งยังได้สร้างความสนุกสนานและความภูมิใจให้แก่ผู้เข้าร่วมงานที่สามารถพิชิตยอดดอยอินทนนท์ได้สำเร็จ พร้อมทั้งเสริมสร้างการท่องเที่ยวกีฬาในจังหวัดเชียงใหม่อย่างยั่งยืน

ฮ.ปภ.32 บินสนับสนุนจังหวัดเชียงใหม่ ดับไฟป่าดอยเต่า

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.00 น. ศูนย์ควบคุมอากาศยานและดับไฟป่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า รายงานว่า ชุดปฏิบัติการบิน ฮ.ปภ.32 เตรียมขึ้นบินสนับสนุนจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่

เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นภูเขาสูงเข้าถึงยากลำบาก และ สถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ไหม้ติดต่อกันมาหลายวัน ประกอบกับ เมื่อ 15 ก.พ.68 เวลา 20.30 น. จังหวัดเชียงใหม่ โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานขอใช้อากาศยานดับไฟป่า KA-32 เพื่อแก้ไขปัญหา

ทั้งนี้ก่อนขึ้นบินจะร่วมประชุมกับฝ่ายปกครองของอำเภอดอยเต่าเพื่อรับทราบสถานการณ์ก่อนขึ้นดับไฟควบคู่กับหน่วยทางภาคพื้นที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามอากาศยานดับไฟป่า KA-32 ยังคงให้การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 อย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือจะไม่ส่งผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่

ศึกแย่งน้ำชาวนา-สวนส้ม อ.แม่อาย สั่งให้รื้อท่อดักน้ำภายใน 15 วันตามคำสั่งศาลก่อนหน้านี้

ศึกแย่งน้ำชาวนา-สวนส้ม อ.แม่อายร้อนระอุอีกครั้ง หน.อุทยานฯสั่งรื้อท่อดักน้ำของสวนส้มที่เป็นปมขัดแย้งมานานนับทศวรรษตามคำสั่งศาลปกครองใน 15 วัน ฝั่งสวนส้มยังคาใจและขอผ่อนปรนต่อพร้อมสร้างเงื่อนไขต่อรองค้านสร้างอ่างเก็บน้ำ ถกจนวุ่นที่ประชุม

เชียงใหม่ 14 ก.พ.- ที่ห้องประชุมมะลิกาที่ว่าการ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นางสาวพัฒน์นภา พานมะ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง เป็นประธานการประชุมการแก้ไขปัญหาการใช้น้ำในพื้นที่ป่าต้นน้ำแม่สาว ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้เกี่ยวข้องทั้ง นายนพรัตน์ นวลอนงค์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ผู้ประกอบการสวนส้มกับชาวนาในพื้นที่เกี่ยวกับปัญหาพิพาทมาตั้งแต่ปี 2559 เรื่องการใช้น้ำกรณีการรื้อถอนท่อ pvc ที่กระทำผิดกฎหมายในเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก อันสืบเนื่องมาจากคดีที่ศาลปกครอง จ.เชียงใหม่พิพากษา ให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ทำการรื้อถอนท่อออกจากเขตอุทยานฯ หลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดภายใน 30 วัน ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2567 ล่าสุดนายนพรัตน์ นวลอนงค์ หน.อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ปิดประกาศหนังสือให้ผู้ประกอบการสวนส้มในเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ให้ทำการรื้อถอนท่อ pvc ที่วางท่อดักน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกที่ผิดกฎหมายมีกำหนด 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 3-18 ก.พ.68 หลังจากนั้นถ้ายังไม่มีการรื้อถอนท่อออกจากเขตอุทยานฯ ทางเจ้าที่จะเข้าทำการรื้อถอนท่อออกเอง โดยจะต้องคิดค่ารื้อถอนจากเจ้าของสวนส้มที่ยังไม่ดำเนินการใดๆตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ โดนยืนยันต่อที่ประชุมว่า หลังจากได้ย้ายมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานฯ เมื่อปลายปี 2567 ก็มาขึ้นศาลปกครองด้วยตนเองช่วงเดือนธันวาคมจนล่าสุดได้ออกประกาศเรื่องนี้ให้มีผล 15 วันในการรื้อถอนท่อดังกล่าวตามคำพิพากษาของศาล

นายวิชัย วงค์หลวง ประธานกลุ่มผู้ประกอบการสวนส้ม กล่าวว่า เข้าใจกระบวนการยุติธรรม แต่อยากจะขอทางอุทยานฯ ผ่อนปรน การวางท่อใช้น้ำไปก่อนไม่เช่นนั้นสวยส้มเขาจะตาย โดยให้ปฏิบัติตาม mou ที่เคยตกลงกันไว้จะได้หรือไม่ และกลุ่มผู้ประกอบการสวนส้ม ขอให้ทางอำเภอผ่อนปรนการรื้อถอนไปก่อน

ด้านนายเสถียร มณีผ่อง ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำแม่สาว กล่าวว่า mou ที่ทำกับทางอำเภอไว้มันหมดเวลาผ่อนปรนไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 แล้ว

ทั้งนี้ปลัดอาวุโส อ.แม่อายกล่าวว่า ห้วงเวลาผ่านมาเกือบ 10 ปี มันเลยเวลาที่จะไกล่เกลี่ยไปแล้ว วันนี้ศาลสั่งจึงมีความจำเป็นต้องปฏิบัติไปตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม  ในขณะที่ประชุมเป็นเวลานานในการชี้แจงโดยเฉพาะกลุ่มผู้ก่อการสวนส้มที่พยายามจะขอผ่อนปรนต่อไปอีก อีกทั้งพยายามโยงไปถึงเรื่องโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำแม่สาว ที่รัฐบาลให้กรมชลประทานทำการศึกษาเพื่อดำเนินการอยู่ โดยนายวรเชษฐ์ เขื่อนคำ รองประกลุ่มผู้ประกอบการสวนส้มกล่าวว่า ตัวเขาเองได้พูดคุยกับหน.อุทยานฯ ในการสร้างอ่างเก็บน้ำแม่สาว โดยยกเอาคำพูดของ หน.อุทยานฯ มาระบุว่า ถ้าไม่มีเรื่องขัดแย้งก็สามารถเดินหน้าสร้างอ่างเก็บน้ำแม่สาวได้เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ แต่ยังมีข้อขัดแย้งแบบนี้ก็สร้างอ่างเก็บน้ำไม่ได้ เช่นดียวกับ น.ส.ชลธร เรือนเงิน กรรมการกลุ่มผู้กำกับการสวนส้มอีกคนกล่าวเสริมว่า เรื่องอ่างเก็บน้ำก็ไม่เป็นอันต้องสร้างแล้ว

ด้านนายสมศักดิ์ เขื่อนแก้ว เลขานุการกลุ่มผู้ใช้น้ำกล่าวว่า จริงๆแล้วคนที่จะดิ้นรนสร้างอ่างเก็บน้ำแม่สาวคือกลุ่มผู้ประกอบการสวนส้มเพราะไม่มีแหล่งน้ำเป็นของตนเอง แต่กลับเอาอ่างเก็บน้ำมาเป็นตัวประกันในเรื่องนี้ นั่นก็เท่ากับว่า ถ้าชาวนาคัดค้านการวางท่อในเขตอุทยานฯ กลุ่มสวนส้มก็จะมีการต่อต้านเรื่องการสร้างอ่างเก็บน้ำ มันสวนทางกันกับความต้องการของตัวเองที่มีความต้องการใช้น้ำมากกว่า

โดยที่ประชุมใช้เวลาถกเถียงกันไม่มีข้อยุติสุดท้ายต่างฝ่ายก็เดินออกห้องประชุมทำให้ต้องเลิกประชุมในครั้งนี้โดยปริยายซึ่งทางด้าน เลขานุการผู้ใช้น้ำแม่สาวได้กล่าวหลังประชุมว่า เกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่าน ชาวนาสองตำบลของอำเภอแม่อายกว่า 600 ครัวเรือนจำนวนกว่าสองพันคน ได้รับผลกระทบจากการแย่งน้ำของผู้ประกอบการสวนส้มซึ่งไปวางท่อดักน้ำที่ต้นน้ำลำธารในเขตอุทยานฯ ซึ่งอำนาจรัฐไม่สามารถจัดการกับพวกนายทุนเหล่านี้ได้มีการหารือแก้ปัญหามาตลอดแต่ไม่ได้ข้อยุติมีเงื่อนไขตลอดมาเช่นการประชุมวันนี้ แต่ต้องขอชื่นชมปลัดอาวุโส อ.แม่อายและหัวหน้าอุทยานดอยผ้าห่มปก ที่ปฎิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใดๆ ไม่ใช่เพราะเป็นคำสั่งศาลเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีคำสั่งรื้อถอนที่ 56-172/2562 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2562 มีแต่คำสั่งแต่ไม่มีการรื้อถอน คดีที่อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสุงสุด จำนวน 65 คดี ศาลปกครองสูงสุดไม่รับไว้พิจารณาและคดีที่ไม่อุทธรณ์อีก 21 คดี ผ่านมาหลายปีไม่มีเจ้าหน้าที่กล้ารื้อถอน จนมาวันนี้ทั้งสองท่านกล้าทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาเพื่อดับทุกข์แก่ชาวบ้านอย่างเท่าเทียม และต้องติดตามดูว่าครบ 15 วันวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ทางผู้ประกอบการสวนส้มจะทำการรื้อถอนเองหรือไม่

ผาเมือง ปะทะกลุ่มขบวนการลำเลียงยาเสพติด ยึดยาบ้า 7แสนเม็ด

กองกำลังผาเมือง ปะทะกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ยึดยาบ้า 700,000 เม็ด ในบริเวณพื้นที่ ช่องทางดอยอุ่น บ้านขุนมาว ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.00 นาฬิกา กองกำลังผาเมือง โดย พลตรี กิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง มอบหมายให้ พันเอก ฐานพัฒน์ แสงนาค รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจไชยานุภาพ เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุและตรวจนับของกลาง พร้อมทั้งชี้แจงให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ

กรณี เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. กองร้อยทหารม้าที่ 4 หน่วยเฉพาะกิจไชยานุภาพ จัดกำลังพล 1 ชุดปฏิบัติการ ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเฝ้าตรวจเพื่อป้องกัน และสกัดกั้นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด บริเวณ ช่องทางดอยอุ่น บ้านขุนมาว ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ตรวจพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยสะพายเป้ ประมาณ 5 – 6 คน จึงได้แสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจค้น แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิด และขนาดยิงใส่ฝ่ายเรา ทำให้เกิดการปะทะกันประมาณ 10 นาที ผลการปะทะฝ่ายเราปลอดภัย ไม่พบกลุ่มขบวนการฯ หน่วยได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุเพิ่มเติม

จากการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ พบกระสอบดัดแปลงเป็นเป้สะพายหลัง จำนวน 4 กระสอบ ภายในบรรจุยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) รวมประมาณ 700,000 เม็ด ไม่พบกลุ่มขบวนการฯ บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ปัจจุบันหน่วยได้นำของกลางทั้งหมดส่ง สถานีตำรวจภูธรฝาง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

.

ส่ง 20 ชุดปฏิบัติการ จำนวน 200 นาย ลาดตระเวนดับไฟป่าเชียงใหม่

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า( ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. )ส่งมอบชุดปฏิบัติการลาดตระเวนดับไฟป่า 20 ชุดปฏิยัติการ จำนวน 200 นาย ลงพื้นที่ในการป้องกันและบรรเทาปัญหาความรุนแรงของไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กทั้งในพื้นที่เปราะบาง รอยต่อระหว่างจังหวัด และพื้นที่เผาไหม้ซ้ำซาก เพื่อลาดตระเวนป้องกันปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 13.00 น.ที่ สนามกีฬารามัญวงศ์ พล.ร.7 อ.แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า เป็นประธานพิธีส่งมอบชุดปฏิบัติการลาดตระเวนดับไฟป่าในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 20 ชุดปฏิยัติการ จำนวน 200 นาย ให้กับนายศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ โดยมี พ.อ. ยรรยง ทิพาปกรณ์ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ช.ม.(ท.) นายกริชสยาม คงสตรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ,นายปิยะพงษ์ ประพันธ์วัฒนะ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ และผู้แทนจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วม เพื่อลงพื้นที่ในการป้องกันและบรรเทาปัญหาความรุนแรงของไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กทั้งในพื้นที่เปราะบาง รอยต่อระหว่างจังหวัด และพื้นที่เผาไหม้ซ้ำซาก ตลอดจนบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็กในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม 2568

โดยชุดปฏิบัติการดังกล่าวเป็นการบูรณาการกำลังจากหน่วยงานทหาร กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อาสาสมัครพลเรือน และกำลังจิตอาสาที่อยู่ในแต่ละชุมชนทั้ง 25 อำเภอของจังหวัดเชียงใหม่

ด้านนายศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองได้สร้างความเสียหายให้แก่ชาวจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และที่สำคัญคือปัญหาสุขภาพ ดังนั้นจึงเป็นวาระอันสำคัญยิ่งที่เราจะร่วมมือกันทุกหน่วยงานเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ยุติโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ต้องขอบคุณทางศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้าที่เห็นความสำคัญในปัญหาดังกล่าว และได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อาสาสมัครพลเรือน ตลอดจนกำลังจิตอาสาที่จัดชุดลาดตระเวนดับไฟป่า จำนวนทั้ง 42 ชุดปฏิบัติการ ที่จะเข้าปฏิบัติงานตั้งแต่เดือน ก.พ. ไปจนถึงเดือน พ.ค. ครั้งนี้หวังว่าปัญหาไฟป่าหมอกควันในจังหวัดเชียงใหม่จะเบาบางจนไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง