ตม.เชียงใหม่ บุกรวบแรงงานเมียมา 5 คนพร้อมนายจ้างเมียนมาลักลอบทำงานไม่มีใบอนุญาต

พ.ต.อ.สุรชัย เอี่ยมผึ้ง ผกก.ตม.จว.เชียงใหม่ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่งานสืบสวนปราบปรามฯ ทำการสืบสวนเพื่อจับกุมคนต่างด้าว ซึ่งได้กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 หรือความผิดตามกฎหมายอื่น

วันที่ 2 พ.ค.68 พ.ต.ต.สุธีรเทพ โพธิ์นฤมิต สว.ตม.จว.เชียงใหม่ นำทีมชุดสืบสวน ตม.จว.เชียงใหม่ บูรณาการกำลังร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.5 ออกตรวจสอบสถานประกอบการในพื้นที่รับผิดชอบบริเวณ ต.ช้างเผือก   อ.เมือง จว.เชียงใหม่ หลังได้รับแจ้งว่ามีคนต่างด้าวลักลอบมาทำงานโดยผิดกฎหมาย ผลการตรวจสอบ สามารถจับกุมคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 1 ราย ข้อหา“เป็นคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวประกอบอาชีพหรือรับจ้างทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” และ ข้อหา “รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยที่คนต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงาน” และจับกุมคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาอีก 5 ราย ข้อหา “เป็นคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวประกอบอาชีพหรือรับจ้างทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” อันเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 มาตรา 13

ผู้ต้องหารายที่ 2 – 5 ให้การรับสารภาพว่าตนได้เข้ามาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟและช่วยงานในครัวอยู่ในร้านแห่งนี้ เป็นเวลาประมาณ 1 ปี โดยมีผู้ต้องหารายที่ 1 เป็นนายจ้างและจ่ายค่าจ้างให้ โดยไม่ได้ดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ หากต้องการแจ้งเบาะแส หรือหากมีข้อสงสัยใดๆ สามารถสอบถามกับทาง ตม.จว.เชียงใหม่ได้โดยตรง ผ่านทาง website ของ ตม.จว.เชียงใหม่ : https://chiangmai.immigration.go.th หรือ Facebook : https://www.facebook.com/immchiangmai หรือสายตรงที่โทรศัพท์ 0 5320 1755

แม่ทัพภาค 3 เผยผลงานคุมไฟป่าเหนือ ลดจุดความร้อน 19% แต่พื้นที่เผาไหม้ยังน่าห่วง

ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า สรุปผลการปฏิบัติงานปี 2568 ชี้จุดความร้อนลดลง 19% แต่พื้นที่เผาไหม้กลับพุ่งสูงกว่า 1.5 ล้านไร่ พร้อมเดินหน้ามอบเครื่องมือสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง

พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองภาค 3 เป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานลาดตระเวนและดับไฟป่า ในพื้นที่ 12 กลุ่มป่า ณ โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมมอบเครื่องเป่าลมเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของกำลังพลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ประจำปี 2568 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ศูนย์อำนวยการฯ ได้สรุปผลการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 28 เมษายน 2568 พบว่าสถานการณ์ด้านจุดความร้อนลดลงจากปี 2567 จำนวน 13,858 จุด หรือร้อยละ 19.54 อย่างไรก็ตาม ยังคงมี 9 จังหวัดที่แนวโน้มจุดความร้อนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแม่ฮ่องสอน ตาก และอุตรดิตถ์ ทำให้ยอดรวมจุดความร้อนยังคงสูงถึง 57,079 จุด ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ (24,107 จุด) และป่าสงวนแห่งชาติ (22,581 จุด) ซึ่งยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการให้ลดลงร้อยละ 25 ในพื้นที่ป่า

ขณะที่สถานการณ์ด้านพื้นที่เผาไหม้กลับน่ากังวล โดยตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 30 มีนาคม 2568 พบว่ามีพื้นที่ถูกไฟเผาไปแล้วถึง 8,680,870 ไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ถึง 1,505,490 ไร่ หรือร้อยละ 17.34 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ตาก นครสวรรค์ และเพชรบูรณ์ โดยเฉพาะพื้นที่เกษตรและเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีแนวโน้มการเผาไหม้เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 90.34 และ 53.22 ตามลำดับ

สำหรับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีค่าเฉลี่ยสูงสุดถึง 304.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และเกินค่ามาตรฐานติดต่อกันนานเกิน 9 วัน นอกจากนี้ จังหวัดน่านมีวันที่ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานมากที่สุดถึง 121 วัน รองลงมาคือพิษณุโลก (94 วัน) และอุทัยธานี (88 วัน)

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศูนย์อำนวยการฯ ได้บูรณาการกำลังพลจากกองทัพภาคที่ 3 ปฏิบัติการรณรงค์แก้ไขปัญหาการบุกรุกและทำลายพื้นที่ป่าไม้ ดับไฟป่ากว่า 885 ครั้ง จัดชุดลาดตระเวนร่วมกับกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืชและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 208 ชุด ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับแผนการฝึกตามวงรอบประจำปีในพื้นที่เสี่ยงเกิดไฟไหม้ซ้ำซากกว่า 17,892 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการใช้กลไกของ กอ.รมน.จังหวัด ในการดับไฟป่า รณรงค์สร้างการรับรู้ ป้องกันการเผาป่า ทำแนวกันไฟ บังคับใช้กฎหมาย สร้างฝายชะลอน้ำ ใช้อากาศยานดับไฟ และผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ รวม 36,630 ครั้ง

ในด้านการใช้อากาศยาน ได้มีการวางแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่า 4 รูปแบบ ทั้งระบบตรวจจับจุดความร้อน (Sensor) โดยใช้อากาศยาน 4 ลำ บินลาดตระเวน 65 เที่ยวบิน ระบบดับไฟป่า (Shooter) โดยใช้อากาศยาน 8 ลำ บินทิ้งน้ำ 2,297 เที่ยว ปริมาณกว่า 2.3 ล้านลิตร รวมถึงการใช้ระบบดัดแปรสภาพอากาศ (Inversion) กว่า 700 เที่ยวบิน และการเฝ้าระวังด้วยโดรน IR ในพื้นที่เชียงใหม่ 74 ครั้ง

แม่ทัพภาคที่ 3 ย้ำว่า การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง เป็นภารกิจที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมาย การสร้างจิตสำนึก และความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อเป้าหมายการลดไฟป่าอย่างยั่งยืนในภาคเหนือ โดยจะมีการถอดบทเรียนจากผลการปฏิบัติงานในปีนี้เพื่อปรับใช้ในปีต่อไป

รองแม่ทัพภาคที่ 3 เปิดโครงการสร้างฝายและปลูกป่าแม่แจ่ม ถวายเป็นพระราชกุศล

เชียงใหม่ – พลตรี ชายแดน กฤษณสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานเปิด “โครงการสร้างฝายชะลอน้ำและปลูกป่าในพื้นที่ป่าต้นน้ำแม่แจ่ม ระยะที่ 6” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 73 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความชุ่มชื้น ป้องกันภัยแล้ง และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 เวลา 10.00 น. ณ องค์การบริหารส่วนตำบลแจ่มหลวง อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ พลตรี ชายแดน กฤษณสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 3 ผู้แทนแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสร้างฝายชะลอน้ำและปลูกป่าในพื้นที่ป่าต้นน้ำแม่แจ่ม ระยะที่ 6” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 73 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อฟื้นฟูความชุ่มชื้นในผืนป่าต้นน้ำและทรัพยากรธรรมชาติ แก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน ป้องกันไฟป่าในฤดูแล้ง สร้างแหล่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและเกษตรกรรมของประชาชน อนุรักษ์และบำรุงรักษาป่าสงวนแห่งชาติให้สมบูรณ์ตลอดปี รวมถึงป้องกันการเกิดไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่

นายภูสวัสดิ์ สุขเลี้ยง ประธานองค์การป่ารักษ์น้ำแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ได้แก่ องค์การป่ารักษ์น้ำแห่งประเทศไทย กองทัพภาคที่ 3 กรมป่าไม้ โครงการหลวง อำเภอกัลยาณิวัฒนา สภ.กัลยาณิวัฒนา อบต.แจ่มหลวง อบต.บ้านจันทร์ และหน่วยงานภาคีอื่นๆ โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายก่อสร้างฝายชะลอน้ำกึ่งถาวรจำนวน 300 ฝาย ครอบคลุมพื้นที่ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลแจ่มหลวง จำนวน 143 ฝาย และตำบลบ้านจันทร์ จำนวน 157 ฝาย

การดำเนินงานในครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายสานต่อการพัฒนาชนบท สนองแนวพระราชดำริ และบริษัทไทวัสดุ ซึ่งได้บริจาคปูนอัดแรงจำนวน 3,000 ถุง และตะแกรงไวร์เมช จำนวน 20 ม้วน นับเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสืบสานแนวพระราชดำริด้านการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสร้างสมดุลให้กับระบบนิเวศในระยะยาว

หยาดเหงื่อสุดท้ายเพื่อผืนป่า อส.อส. สังเวยความเหนื่อยล้า

เกิดเหตุการณ์น่าสลดใจ เมื่อนายมานิตย์ สวันสุ อายุ 62 ปี อาสาสมัครพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.อส.) บ้านกองขากหลวง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ตกข้างทางลึก 2 เมตร หลังเสร็จสิ้นภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติขุนขาน อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากความอ่อนล้าจากการปฏิบัติงานต่อเนื่องหลายชั่วโมง

อส.อส. เป็นเครือข่ายภาคประชาชนที่เข้ามาสนับสนุนภารกิจสำคัญของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในด้านการอนุรักษ์ ส่งเสริม คุ้มครอง ดูแลรักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการเฝ้าระวังและรายงานข้อมูลสถานการณ์ทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและรักษาทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ซึ่งมีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 และมีเครือข่ายความร่วมมือทั่วประเทศถึง 8 เครือข่าย

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนควบคุมและปฏิบัติการไฟป่า สบอ.16 รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2568 เวลา 13.30 น. นายมานิตย์ สวันสุ ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านกองขากหลวง และสมาชิก อส.อส. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติขุนขาน, เจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าขุนขาน – สะเมิง, และเจ้าหน้าที่อื่นๆ รวม 26 นาย เข้าดับไฟป่าบริเวณท้ายหมู่บ้านกองขากหลวง หมู่ที่ 7 ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่

ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจอันหนักหน่วงในเวลาประมาณ 20.00 น. นายมานิตย์ได้เดินทางกลับบ้าน แต่เนื่องจากความอ่อนล้าสะสมจากการปฏิบัติงานดับไฟป่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อถึงบริเวณทางเข้าก่อนถึงหมู่บ้านกองขากหลวง ในเวลาประมาณ 20.30 น. ได้ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เสียหลักตกข้างทางลึกประมาณ 2 เมตร และเสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ

เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติขุนขานได้ประสานไปยังโรงพยาบาลสะเมิง เพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตไปชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดต่อไป

นายทวีวรรธน์ แดงมณี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติขุนขาน ผู้รายงานเหตุการณ์ ได้เน้นย้ำถึงความเสียสละของอาสาสมัครภาคประชาชนเหล่านี้ในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

ลำพูนดัน “ไก่เหล่าป่าก๋อย” ขึ้นแท่นซอฟต์พาวเวอร์ สร้างรายได้ 10 ล้าน/ปี

ตำบลน้ำดิบ ลำพูน เดินหน้าส่งเสริมไก่ชนสายพันธุ์ “เหล่าป่าก๋อย” เป็นซอฟต์พาวเวอร์ สร้างรายได้ให้ 17 หมู่บ้านกว่า 10 ล้านบาทต่อปี จัดงานใหญ่โชว์ศักยภาพ หวังภาครัฐหนุนเหมือนมวยไทย

ที่สนามกีฬากลางตำบลน้ำดิบ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ได้มีการจัดงาน “วิถีชีวิตคนตำบลน้ำดิบกับไก่เหล่าป่าก๋อย ครั้งที่ 8” ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีนายปรีชา สมชัย ปลัดจังหวัดลำพูน เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยนายรัชพันธุ์ ยะสง่า เลขานุการ นายก อบจ.ลำพูน, นายมงคล หมื่นอภัย นายก อบต.น้ำดิบ และประชาชนกว่า 500 คน จาก 17 หมู่บ้าน รวมถึงกลุ่มผู้เลี้ยงไก่เหล่าป่าก๋อยในพื้นที่เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ภายในงานมีการจัดกิจกรรมหลากหลายเพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ อาทิ การประกวดไก่ชนเหล่าป่าก๋อยประเภทสวยงาม, เวทีเสวนาทิศทางการพัฒนาสายพันธุ์และการตลาด, การแข่งขันลาบไก่, การประกวดธิดาจำแลง และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตชุมชนของจังหวัดลำพูน

นายมงคล หมื่นอภัย นายก อบต.น้ำดิบ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 แล้ว โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นการนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยองและสิบสองปันนามาจัดแสดง รวมถึงการส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยงไก่ชนเหล่าป่าก๋อยเป็นสินค้าโอทอปและซอฟต์พาวเวอร์ สร้างรายได้จากการจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันตำบลน้ำดิบมีการส่งออกไก่ชนประมาณวันละกว่า 100 ตัว คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซียมีความต้องการสูงมาก

อาจารย์อุปถัมภ์ ใจธัญ ปราชญ์ชาวบ้านผู้เชี่ยวชาญด้านไก่เหล่าป่าก๋อย กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาสายพันธุ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยเน้นการพัฒนาเชิงบน โครงสร้างกระดูกดี และสีสันแปลกใหม่ รวมถึงการนำสายพันธุ์จากญี่ปุ่นและไซ่ง่อนมาพัฒนาต่อยอด พร้อมทั้งแนะแนวทางการเลี้ยงที่เน้นคุณภาพเพื่อลดต้นทุน

ด้านชาวบ้านผู้เลี้ยงไก่เหล่าป่าก๋อย มองเห็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากไก่ชน โดยอาศัยภูมิปัญญาและเล้าไก่พื้นบ้านที่มีอยู่แล้ว หากไก่มีฝีมือและสายพันธุ์ดี จะสามารถจำหน่ายได้ราคาสูงตั้งแต่หลักหมื่น หลักแสน ไปจนถึงหลักล้านบาท การเลี้ยงไก่ชนยังเป็นการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน ทั้งในด้านอาหาร ยาบำรุง สุ่มไก่ และการจ้างงาน

นายก อบต.น้ำดิบ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่างๆ ให้ความร่วมมือในการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงไก่ชนเป็นอย่างดี แต่ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐในลักษณะเดียวกับการกีฬามวย เพื่อยกระดับไก่ชนเหล่าป่าก๋อยให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมการตลาดออนไลน์เพื่อให้ผู้ซื้อและผู้ขายเข้าถึงกันได้ง่ายยิ่งขึ้น

ไฟไหม้ป่าดอยสุเทพ-ปุย เสียหาย 50 ไร่! เจ้าหน้าที่บูรณาการดับไฟวุ่น

เกิดเหตุไฟป่าลุกลามบริเวณด้านล่างดอยผาเจดีย์ ฝั่งบ้านดอยปุย เจ้าหน้าที่อุทยานฯ สนธิกำลัง 28 นาย เร่งเข้าสกัดเพลิงนานเกือบชั่วโมง แต่ผืนป่าดอยสุเทพ-ปุย เสียหายไปแล้วถึง 50 ไร่ คาดสาเหตุจากการหาของป่า

เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2568 Warroom อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย รายงานการเกิดเหตุไฟป่าบริเวณด้านล่างดอยผาเจดีย์ ฝั่งบ้านดอยปุย หมู่ที่ 11 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ โดยตรวจพบไฟป่าครั้งแรกเมื่อเวลา 09.20 น. โดยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 10 บ้านใหม่สันคะยอม

เจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าภูพิงค์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย (ทป.2, ทป.4) และชุดเฝ้าระวังไฟ ทป.23 ก รวมกำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานทั้งสิ้น 28 นาย ได้เร่งเข้าทำการดับไฟตั้งแต่เวลา 10.18 น. และสามารถควบคุมเพลิงได้ในเวลา 11.58 น.

จากการประเมินความเสียหาย พบว่าพื้นที่ป่าดอยสุเทพ-ปุยถูกไฟไหม้ไปแล้วประมาณ 50 ไร่ เบื้องต้นคาดการณ์ว่าสาเหตุของการเกิดไฟป่าในครั้งนี้มาจากการเข้าไปหาของป่าในพื้นที่

“ตะครุบคาจุดตรวจ! รวบยาบ้า 5.4 ล้านเม็ด พร้อมกระสุนปืน ที่แม่ฟ้าหลวง”

ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย สนธิกำลังร่วมกับทหารและตำรวจ สกัดกั้นขบวนการลักลอบขนยาเสพติด ตรวจยึดยาบ้าได้กว่า 5.4 ล้านเม็ด พร้อมกระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร

เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 นายปรีชา ศิรินาม นายอำเภอแม่ฟ้าหลวง ได้รับรายงานจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดผ่านพื้นที่ชายแดน จึงสั่งการให้ นายอานนท์ ขันคำ ปลัดอาวุโสอำเภอแม่ฟ้าหลวง นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอแม่ฟ้าหลวง จำนวน 2 ชุด ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร กองบังคับการควบคุมผาแด่น หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 327 ตั้งจุดตรวจจุดสกัดบริเวณบ้านป่าชางสูง หมู่ที่ 16 ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

ต่อมาในเวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่พบรถยนต์ต้องสงสัยขับเข้ามาใกล้จุดตรวจ ผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในรถได้เปิดประตูวิ่งหลบหนีเข้าไปในป่าข้างทาง เจ้าหน้าที่ติดตามแต่ไม่พบตัว จากการเข้าตรวจสอบบริเวณดังกล่าว พบยาบ้าบรรจุในเป้ จำนวน 2 เป้ เป้ละประมาณ 200,000 เม็ด รวม 400,000 เม็ด และพบกระเป๋าเป้สัมภาระตกอยู่ ภายในพบซองกระสุนบรรจุลูกปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร จำนวน 1 ซอง

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ รุ่นมิวเอ็กซ์ สีขาว หมายทะเบียน 6 กฉ 9699 กรุงเทพมหานคร ที่จอดทิ้งไว้ ไม่พบผู้ใดอยู่ในรถ แต่ภายในรถพบยาเสพติดประเภทยาบ้าอีก 25 เป้ เป้ละประมาณ 200,000 เม็ด รวมประมาณ 5 ล้านเม็ด ทำให้ของกลางยาบ้าที่ตรวจยึดได้ในครั้งนี้มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 5.4 ล้านเม็ด

เตือนภัยฉบับล่าสุด! พายุฤดูร้อนถล่มเหนือ 27 เมษา – 1 พฤษภาคมนี้

กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนฉบับล่าสุด ให้ประชาชนในภาคเหนือเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อนที่คาดว่าจะมาพร้อมกับฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกในบางพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันที่ 27 เมษายน ถึง 1 พฤษภาคมนี้ ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและระมัดระวังอันตรา

สถานการณ์สภาพอากาศล่าสุดจากกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 3 (32/2568) ระบุว่า บริเวณภาคเหนือจะเผชิญกับพายุฤดูร้อนอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ โดยลักษณะเด่นของพายุคือ ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และที่น่ากังวลคืออาจมีลูกเห็บตกลงมาในบางพื้นที่ด้วย

สำหรับพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนในวันพรุ่งนี้ 27 เมษายน 2568 ได้แก่ จังหวัดตาก แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ขอให้ประชาชนในจังหวัดเหล่านี้เตรียมตัวรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

และในช่วงระหว่างวันที่ 28 เมษายน ถึง 1 พฤษภาคม 2568 พายุฤดูร้อนจะแผ่ขยายและส่งผลกระทบต่อจังหวัดในภาคเหนือตอนบนมากขึ้น ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา รวมถึงจังหวัดทางตอนล่างอย่าง น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ และตาก

กรมอุตุนิยมวิทยาเน้นย้ำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดตามประกาศเตือนภัยอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัย โดยควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือใกล้สิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงในขณะเกิดพายุ นอกจากนี้ ลมกระโชกแรงยังอาจเป็นอันตรายต่อป้ายโฆษณาและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มั่นคง ควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางและกิจกรรมกลางแจ้ง

ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 กำลังเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนนี้

ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศและประกาศเตือนภัยล่าสุดได้จากช่องทางของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

ชาวนาแม่อายรวมตัวยื่นหนังสือผู้ว่าฯ เชียงใหม่ วอนช่วยด่วน! ราคาข้าวตกต่ำวิกฤต ก่อนเก็บเกี่ยว

เชียงใหม่: กลุ่มชาวนาอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กว่า 80 ราย นำโดย นายสัญญา อิ่นแก้ว ประธานกลุ่มฯ ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ขอความช่วยเหลือเร่งด่วน หลังราคาข้าวเปลือกดิ่งเหว เหลือเพียง 8.50 บาท/กก. ต่ำกว่าต้นทุนผลิต ทำชาวนาเดือดร้อนหนัก โดยเฉพาะข้าวเปลือกเหนียวสันป่าตองที่ไม่มีพ่อค้ารับซื้อ วอนรัฐหามาตรการพยุงราคาไม่ต่ำกว่า 10 บาท/กก. พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการนอกพื้นที่เข้ามารับซื้อในราคานำตลาด ก่อนถึงฤดูเก็บเกี่ยวที่กำลังจะมาถึง

ตัวแทนชาวนาระบุว่า สถานการณ์ราคาข้าวตกต่ำอย่างรุนแรงในขณะนี้ กำลังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ชาวนาจะหมดกำลังใจในการประกอบอาชีพ จึงขอให้ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ดำเนินการช่วยเหลือโดยด่วน 3 ข้อเรียกร้องหลัก ได้แก่ สนับสนุนผู้ประกอบการนอกพื้นที่รับซื้อข้าวเปลือกราคานำตลาด, หามาตรการพยุงราคาสดไม่ต่ำกว่า 10 บาท/กก., และประสานหน่วยงานภาครัฐช่วยเหลือเร่งด่วนภายใต้การดูแลของพาณิชย์จังหวัด

ด้าน นางกนกรัตน์ ยุกติรัตน์ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายเจริญ พิมพ์ขาล เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ออกมารับหนังสือและร่วมประชุมหารือแนวทางแก้ไข โดยพาณิชย์จังหวัดฯ เผยว่า กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และก่อนหน้านี้มีโรงสีนอกพื้นที่แสดงความสนใจเข้ามาซื้อข้าวในเชียงใหม่ หากมีพื้นที่รับซื้อที่เหมาะสม จะเร่งประสานงานทันที

ขณะที่ เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ ชี้แจงว่า มีผู้ประกอบการโรงสีภายนอกจำนวนมากต้องการซื้อข้าวสันป่าตอง โดยได้ประสานมายังเกษตรจังหวัดแล้ว หากชาวนาแม่อายพร้อมให้เข้ารับซื้อเมื่อใด ทางเกษตรจังหวัดจะเป็นผู้ประสานงานให้ เนื่องจากอำเภอแม่อายมีพื้นที่ปลูกข้าวลงทะเบียนกว่า 28,000 ไร่ ซึ่งมากกว่าอำเภออื่น คาดการณ์ว่าราคาซื้อขายจะอยู่ที่ประมาณ 12,000 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่กลุ่มชาวนาพอใจ ก่อนจะแยกย้ายเดินทางกลับ

ผาเมืองสนธิกำลังจับไอซ์ล็อตใหญ่ 399 กก. ทะลักชายแดนเชียงใหม่ ตามนโยบาย SEAL STOP SAFE

กองกำลังผาเมืองสนธิกำลังกับตำรวจปราบปรามยาเสพติด สกัดจับขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดครั้งใหญ่ ยึดไอซ์ 399 กิโลกรัม และเคตามีน 240 กิโลกรัม รวมมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 23,000 ล้านบาท พร้อมผู้ต้องหา 1 ราย หลังพยายามขับรถหลบหนีการจับกุมในพื้นที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 04.15 น. ของวันที่ 25 เมษายน 2568 ขณะที่เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส. ตั้งจุดตรวจ/จุดสกัดชั่วคราว บริเวณ บ.ห้วยจะค่าน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ ได้สังเกตพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ สีขาว ทะเบียน ยพ 3852 เชียงใหม่ และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า สีเหลือง ทะเบียน 2 กพ 1232 เชียงใหม่ ขับเข้ามาด้วยท่าทีมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงส่งสัญญาณให้หยุดเพื่อตรวจสอบ

ทว่า ผู้ขับขี่รถกระบะกลับเร่งเครื่องหลบหนี แต่รถเสียหลักตกลงข้างทาง ทำให้สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่นั่งมาในรถจักรยานยนต์ได้ 1 ราย ส่วนผู้ขับขี่รถกระบะอาศัยความมืดหลบหนีไปได้ จากการตรวจค้นรถยนต์กระบะ พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) จำนวน 19 กระสอบ น้ำหนักรวมประมาณ 399 กิโลกรัม และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (เคตามีน) จำนวน 12 กระสอบ น้ำหนักรวมประมาณ 240 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่

ภายหลังการจับกุม พ.ต.อ.พิเชษฐ จีระนันตสิน ผกก.กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส. ได้ประสานไปยัง สภ.เชียงดาว เพื่อขอสนับสนุนกำลังในการนำรถของกลางออกจากที่เกิดเหตุ และร่วมกันสอบสวนผู้ต้องหา พร้อมขยายผลเพื่อติดตามจับกุมผู้ที่หลบหนีและผู้ร่วมขบวนการต่อไป ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.วรพัฒน์ บุญมา ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้สั่งการให้เร่งดำเนินการสืบสวนในเชิงลึกเพื่อสาวถึงต้นตอของขบวนการค้ายาเสพติดกลุ่มนี้

การจับกุมครั้งนี้เป็นผลจากการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกองกำลังผาเมืองภายใต้นโยบาย “SEAL STOP SAFE ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน” ซึ่งมุ่งเน้นการ “SEAL (ปิดผนึก)” ชายแดนไม่ให้ยาเสพติดเข้ามา “STOP (หยุดยั้ง)” การแพร่ระบาด และ “SAFE (รักษา)” ผู้ติดยาเสพติดให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยมีเป้าหมายหลักในการสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ 4 จังหวัด 14 อำเภอชายแดน เป็นระยะเวลา 6 เดือน (กุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2568)

จากสถิติการปฏิบัติงานของกองกำลังผาเมือง ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน สามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้ถึง 250 ครั้ง จับกุมผู้ต้องหาได้ 272 คน ยึดยาบ้าได้กว่า 98 ล้านเม็ด เฮโรอีน 145 กิโลกรัม ไอซ์ 7,781 กิโลกรัม ฝิ่น 22.1 กิโลกรัม และคีตามีน 355 กิโลกรัม ซึ่งหากยาเสพติดเหล่านี้หลุดรอดเข้าไปในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่าสูงถึง 23,035 ล้านบาท

เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในการสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้มงวดและความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความปลอดภัยและลดผลกระทบจากปัญหายาเสพติดต่อสังคมไทย