แม่วางผนึกกำลัง กวาดล้างยาเสพติดเข้มข้นในพื้นที่ ปฏิบัติการ “NO Drugs NO Dealers”

แม่วางผนึกกำลัง กวาดล้างยาเสพติดเข้มข้นในพื้นที่ ปฏิบัติการ “NO Drugs NO Dealers”

เชียงใหม่ – อำเภอแม่วางเดินหน้าเต็มสูบกับปฏิบัติการ “NO Drugs NO Dealers” โดยมีการตั้งจุดตรวจและสกัดกั้นอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันการลักลอบค้ายาเสพติดและสร้างชุมชนปลอดยาอย่างยั่งยืน

เมื่อวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2568 เวลา 16.00 น. นายวีระกิตติ์ การดื่ม ปลัดหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง รักษาราชการแทนนายอำเภอแม่วาง ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ประกอบด้วยปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง,กำนัน นายจีระ กิจทรัพย์พัฒนา ผู้ใหญ่บ้านหมู่4 บ้านหนองต่า , ชุด ชรบ. ตำบลแม่วิน และสมาชิก อส. ร้อย.อส.อ.แม่วาง ที่ 23 บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่วาง และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

ชุดปฏิบัติการได้เข้าดำเนินการตั้งจุดตรวจและจุดสกัดตามเส้นทางและจุดเสี่ยงต่างๆ ในพื้นที่ ตำบลแม่วิน เพื่อตรวจค้นบุคคลและยานพาหนะที่ต้องสงสัย รวมถึงทำการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดในกลุ่มเป้าหมาย

การปฏิบัติการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบาย “ชุมชนปลอดยาเสพติด 8 Quick win” ที่มุ่งเน้นการสร้างความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง.

(มีคลิป) เชียงใหม่/ชื่นชม! ชาวบ้านหนองเต่าร่วมใจพัฒนาฝายต้นน้ำ สืบสานประเพณี อนุรักษ์ธรรมชาติ

เชียงใหม่/ชื่นชม! ชาวบ้านหนองเต่าร่วมใจพัฒนาฝายต้นน้ำ สืบสานประเพณี อนุรักษ์ธรรมชาติ

เชียงใหม่ – เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ บ้านหนองเต่า หมู่ 4 ต.แม่วิน อ.แม่วาง ชาวบ้านหนองเต่าได้รวมพลังสามัคคีครั้งใหญ่ นำโดย นายจีระ กิจทรัพย์พัฒนา ผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้าน เพื่อพัฒนาและทำความสะอาด ฝายต้นน้ำ และ จุดเก็บน้ำ ที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันในชุมชน

การรวมตัวกันครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในชุมชน โดยชาวบ้านจะร่วมแรงร่วมใจทำความสะอาดฝายน้ำล้นและจุดเก็บน้ำในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี ซึ่งปีนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นพิเศษ เนื่องจากพายุวิภาได้พัดพาเอาโคลนและเศษใบไม้มาปิดกั้นทางน้ำ ทำให้การไหลเวียนของน้ำไม่สะดวก

ชาวบ้านหนองเต่าทุกคนได้ร่วมกันสละทั้งเวลา กำลังกาย และทุนทรัพย์ เพื่อช่วยกันฟื้นฟูแหล่งน้ำสำคัญของหมู่บ้าน สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักในคุณค่าของธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เพียงแต่ดูแลแหล่งน้ำ แต่ชุมชนแห่งนี้ยังยึดมั่นในแนวทางอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างแท้จริง โดยไม่มีการถางป่าหรือเผาป่า ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างชุมชนเข้มแข็งและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสมกับการเป็นชุมชนต้นแบบของ ต.แม่วิน อย่างแท้จริง.

ชนะเลิศอันดับที่ 1 “ขนมกน” ไทเขินบ้านมอญต้นโพธิ์แฝด ได้รับเลือกเป็นอาหารถิ่นของเชียงใหม่ “1 จังหวัด 1 เมนู”

ชนะเลิศอันดับที่ 1 “ขนมกน” ไทเขินบ้านมอญต้นโพธิ์แฝด ได้รับเลือกเป็นอาหารถิ่นของเชียงใหม่ “1 จังหวัด 1 เมนู”

โครงการ “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น” หรือ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ซึ่งจัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับ 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ได้ประกาศผลการคัดเลือกเมนูอาหารประจำจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทย

การประกาศผลครั้งนี้ได้รวบรวมเมนูอาหารถิ่นที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกจากการโหวตของประชาชนในพื้นที่ โดยมีเมนูที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 77 เมนู แบ่งตามภูมิภาคต่างๆ ได้แก่
เมนูจากภาคเหนือ

* ขนมปาด จากจังหวัดลำพูน
* ยำไก่ผีปู่ย่า จากจังหวัดสุโขทัย
* ไส้กรอกใหญ่รสเด็ดโบราณพิชัย จากจังหวัดอุตรดิตถ์
* ว้าไก่ จากจังหวัดกาฬสินธุ์
เมนูจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
* ข้าวโจ้โรยงา จากจังหวัดขอนแก่น
* หมกลาบปลาตอง จากจังหวัดชัยภูมิ
* กะละแมโบราณนครพนม จากจังหวัดนครพนม
* น้ำพริกหมู (โคราช) จากจังหวัดนครราชสีมา
* กุ้งจ่อมผัดสมุนไพร จากจังหวัดบึงกาฬ
* ซั่วไก่ จากจังหวัดบุรีรัมย์
* ลาบปูนา จากจังหวัดมหาสารคาม
* ข้าวต้มพันตองหนองสูง จากจังหวัดมุกดาหาร
* ลาบปลาแม่น้ำชี จากจังหวัดยโสธร
* ลาบปูนา จากจังหวัดเลย
* เมี่ยงโค้นน้ำผักสะทอน จากจังหวัดศรีสะเกษ
* ปาดหรือแป้งปิ้งโบราณ – เซาอัง จากจังหวัดสกลนคร
* ส้มตีนโคขุนโพนยางคำ จากจังหวัดสุรินทร์
* แกงฮวกใส่ผักกระแยง จากจังหวัดหนองคาย
* หอยจุ๊บน้ำแกง จากจังหวัดหนองบัวลำภู
* หลามไก่ จากจังหวัดอุดรธานี
* ปลาร้าทรงเครื่อง จากจังหวัดอุบลราชธานี
เมนูจากภาคกลาง
* ขนมจีนซาวน้ำ จากจังหวัดนครปฐม
* ปลาดุกฟูผัดพริกขิง จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
* ขนมสาลี่ จากจังหวัดราชบุรี
* ขนมเปี๊ยะ จากจังหวัดสมุทรสงคราม
* หอยทอดผัดฉ่า จากจังหวัดสมุทรสาคร
* ขนมเปร็ง จากจังหวัดสิงห์บุรี
* มันกะทิปลานิลลอยออมและย่อมย่อน จากจังหวัดสิงห์บุรี
* กาลอแมน้ำตาลปั้น จากจังหวัดสุพรรณบุรี
* ข้าวตอกใบรางนก จากจังหวัดอ่างทอง
* ต้มปลากับปลาบางบ่อ จากจังหวัดสมุทรปราการ
เมนูจากภาคตะวันออก
* แกงส้มปลาคัง จากจังหวัดจันทบุรี
* หมูตัวเดียว จากจังหวัดชลบุรี
* แกงกะทิกระฉอดเคยหมาด จากจังหวัดตราด
* ปลาบูทอดพริกน้ำปลา จากจังหวัดนครนายก
* ข้าวห่อใบบัว จากจังหวัดปราจีนบุรี
* ข้าวต้มกุ้ง จากจังหวัดระยอง
* แกงไตปลา จากจังหวัดสมุทรปราการ
* ไก่ต้มน้ำปลา จากจังหวัดสระแก้ว
เมนูจากภาคใต้
* หลีเปาะ จากจังหวัดกระบี่
* ต้มยำกุ้งน้ำข้น จากจังหวัดชุมพร
* หมึกผัดกระเทียม จากจังหวัดตรัง
* ขนมจีน จากจังหวัดนครศรีธรรมราช
* หมูสามชั้น จากจังหวัดระนอง
* ลางสาด จากจังหวัดสตูล
* ข้าวยำ จากจังหวัดพัทลุง
* แกงไตปลา จากจังหวัดสงขลา
* ต้มยำทะเล จากจังหวัดระยอง
* ปลาร้า จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดและรายชื่อเมนูอื่นๆ เพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม

SUN จับมือ สนับสนุนโครงการ “สวนดอกรวมน้ำใจ” คณะแพทยศาสตร์ มช. ส่งมอบผลิตภัณฑ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยชายแดนไทย–กัมพูชา

SUN จับมือ สนับสนุนโครงการ “สวนดอกรวมน้ำใจ” คณะแพทยศาสตร์ มช. ส่งมอบผลิตภัณฑ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยชายแดนไทย–กัมพูชา

บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการสนับสนุนโครงการ “สวนดอกรวมน้ำใจ” โดยร่วมส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ภายใต้แบรนด์ “KC” เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหารและสิ่งของจำเป็น

สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ ทำให้ประชาชนบางส่วนต้องอพยพออกจากพื้นที่ และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงโภชนาการและบริการพื้นฐาน SUN จึงได้ร่วมสนับสนุนโครงการ “สวนดอกรวมน้ำใจ” จัดโดย คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยร่วมสมทบผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ข้าวโพดหวานหวานบรรจุกระป๋อง เพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังน้ำใจในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่กำลังประสบภัย

ในฐานะผู้ประกอบการที่ยึดมั่นในหลักความรับผิดชอบต่อสังคม SUN เชื่อว่าอาหารคือพลังในการเยียวยา และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเข้าถึงในยามวิกฤต ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ได้ร่วมกับภาคการแพทย์ในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ชายแดน ส่งต่อความห่วงใยจากคนไทยสู่คนไทย.

SUN ส่งต่อพลังใจ สู่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ

SUN ส่งต่อพลังใจ สู่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ

26 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือยังไม่คลี่คลาย หลายชุมชนในจังหวัดน่าน โดยเฉพาะอำเภอเมืองน่าน อำเภอเวียงสา และอำเภอท่าวังผา ยังคงเผชิญกับความยากลำบาก ถนนหนทางบางสายถูกตัดขาด บ้านเรือนเสียหาย และหลายครัวเรือนขาดแคลนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน

ด้วยความห่วงใยต่อชุมชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปภายใต้แบรนด์ “KC” ได้ระดมทีมงานและเครือข่ายพันธมิตร จัดส่งความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเติมกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤต

ผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนประกอบด้วย ข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องตรา “KC” พร้อมรับประทาน เก็บรักษาได้นาน และน้ำดื่มสะอาดตรา “ฟ้าใส” จากบริษัท เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำดื่ม

การช่วยเหลือครั้งนี้ถูกกระจายไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้
1. ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดน่าน เพื่อกระจายต่อไปยังพื้นที่เสี่ยงใน อำเภอเมืองน่าน อำเภอเวียงสา และอำเภอท่าวังผา
2. เทศบาลเมืองน่าน และเทศบาลตำบลเวียงสา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก
3. พันธมิตรทางธุรกิจในอำเภอเวียงสา ซึ่งเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบ Ready to Eat (RTE) ของบริษัทฯ เพื่อให้ความช่วยเหลือเข้าถึงครัวเรือนในชุมชนอย่างรวดเร็ว

ทีมงานของ SUN ได้ลงพื้นที่และทำงานร่วมกับหน่วยงานในท้องถิ่น รวมถึงพันธมิตรในชุมชน เพื่อให้สิ่งของจำเป็นเข้าถึงทุกครัวเรือนโดยเร็วที่สุด แม้ในพื้นที่ที่การสัญจรเป็นไปอย่างยากลำบาก “เราเชื่อว่าความเกื้อกูลที่ส่งถึงกันแม้เพียงเล็กน้อย จะสร้างกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ให้ทุกคนได้ก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน”

อย่างไรก็ตาม SUN จะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมเดินหน้าสนับสนุนความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบสามารถฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด.

(มีคลิป) เชียงใหม่/ ปปส.ภาค 5 จัดประชุมขับเคลื่อนงานพัฒนาและฟื้นฟูหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินฯ

เชียงใหม่/ ปปส.ภาค 5 จัดประชุมขับเคลื่อนงานพัฒนาและฟื้นฟูหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินฯ

เมื่อวันที่ 21 ก.ค.68 ที่ โรงแรมคุ้มภูคำเชียงใหม่ปปส. ภ.5 จัดประชุมขับเคลื่อนงานพัฒนาและฟื้นฟูหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินฯโดยมี นางสาวสุกัญญา ใหญ่วงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 5 เป็นประธานเปิดโครงการฯ พร้อมด้วยนายสว่าง ธาตุอินทร์จันทร์ ประธานเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดเชียงใหม่ และประธานเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดิน 8 จังหวัดภาคเหนือ (ตอนบน) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารกองทุนแม่ฯ และเจ้าหน้าที่พช.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ ปปส.ภ.5 เข้าร่วม

การประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนงานพัฒนาและฟื้นฟูหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินเร่งด่วน และเตรียมหมู่บ้านต้นกล้ากองทุนแม่ของแผ่นดินเข้าร่วมมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2568 โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 22 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมคุ้มภูคำเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นโดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 5 ร่วมกับคณะกรรมการเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัด ในการเข้าร่วมมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดินระดับประเทศ ประจำปี 2568

การประชุมจะแบ่งออกเป็น 2 วันหลัก โดยในวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 มีการกล่าวเปิดโครงการและนำเสนอภาพรวมของกองทุนแม่ของแผ่นดิน รวมถึงแนวทางการดำเนินงานพัฒนาและฟื้นฟูหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดินที่ประสบปัญหาเสพติดเร่งด่วน และวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 จะมีการบรรยายเกี่ยวกับการเข้าร่วมมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน การจัดสรรเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน และการแบ่งกลุ่มจัดทำแผนการจัดซื้อเงินพระราชทานขวัญถุง โดยมีผู้แทนจากกรมการปกครอง และกองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดร่วมให้ความรู้และแนวปฏิบัติ

นอกจากนี้ยังจะมีการบรรยายเรื่องบทบาท ภารกิจ ของเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน และเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินในการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ ซึ่งโครงการนี้มุ่งหวังให้เกิดการขับเคลื่อนงานของกองทุนแม่ของแผ่นดินในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้หมู่บ้าน/ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืนต่อไป.

ประธานเครือข่ายกองทุนแม่ฯ ชื่นชม… พนักงานขายรองเท้าห้างดัง เก็บเงินตกได้ ประกาศตามหาส่งคืนเจ้าของ

ประธานเครือข่ายกองทุนแม่ฯ ชื่นชม… พนักงานขายรองเท้าห้างดัง เก็บเงินตกได้ ประกาศตามหาส่งคืนเจ้าของ

เมื่อวันที่ 15 กค. 2568 เวลา 10.30 น. นายสว่าง ธาตุอินทร์จันทร์ ประธาน เครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดิน จังหวัดเชียงใหม่ และประธานกองทุนแม่ของแผ่นดิน 8 จังหวัดภาคเหนือ (ตอนบน) ได้ทางไปโลตัสสาขาตลาดคำเที่ยง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมภรรยา เพื่อจะเอาเงินไปเข้าธนาคารไทยพานิชย์ เพื่อเตรียมชำระเงินค่าประกันชีวิตฯ ซึ่งจะต้องหักเอาจากบัญชีในเดือนสิงหาคม ชึ่งทุกๆเดือน ตนเองจะต้องเตรียมเงินไว้ในบัญชี จำนวน 3, 000 บาท แต่ระหว่างทางได้ทำเงินจำนวน 3,000 บาท ตกหายระหว่างทางเดินประตูเข้าห้างฯ ถึงบันไดเลื่อน ช่วงนั้นจิตใจตนเองวิตกเป็นอย่างมาก จึงได้เดินไปๆ มาๆ หาเงินที่ทำตก

และต่อมาเวลา 11.00 น. ตนเองได้ยินเสียงประชาสัมพันของทางห้างโลตัสฯประกาศว่า มีคนเก็บเงินที่ตนเองทำตกหล่นภายในห้างฯได้ ตนเองจึงรีบเดินไปหาเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ของทางห้างฯ เพื่อแสดงตัวเป็นเจ้าของเงิน โดยมีชายชื่อหนึ่ง ทำอาชีพขายรองเท้า บริเวณชั้น 2 ข้างที่ทำการธนาคารไทยพานิชย์ สาขาในห้างฯ เป็นผู้เก็บเงินของตนเองได้ ตนเองดีใจมาก จึงได้กล่าวขอบพระคุณกับสิ่งที่ดีๆ ของคุณ “หนึ่ง” ที่จิตใจดีเก็บเงินได้แล้วแจ้งประกาศตามหาเจ้าของ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่านับถือ และทำให้เห็นว่ายังมีคนที่ดีในสังคมบ้านเรา.

(มีคลิป) บพท. ชูความสำเร็จแพลตฟอร์มการค้าและการลงทุนไทย-จีน และศูนย์ Thai-China CBEC Incubation Center and BI Unit

บพท. ชูความสำเร็จแพลตฟอร์มการค้าและการลงทุนไทย-จีน และศูนย์ Thai-China CBEC Incubation Center and BI Unit

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นและภาคีเครือข่ายในการเปิดตัวแพลตฟอร์มการค้าและการลงทุนไทย–จีน (Sino Thai Mart) ซึ่งพัฒนาขึ้นจากผลการดำเนินงานวิจัยในปีงบประมาณ 2567 โดยมีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทยให้สามารถเข้าถึงตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนี้ยังสานต่อการพัฒนาแพลตฟอร์มที่มีความพร้อมใช้งานจริง รวมถึงการจัดตั้ง Sandbox เพื่อบ่มเพาะผู้ประกอบการผ่านกลไกการมีส่วนร่วมที่มุ่งสร้างความเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

พิธีเปิดตัวแพลตฟอร์มจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมี คุณหลี่ จิง รองกงสุลใหญ่จากสถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ กล่าวแสดงความยินดีและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างสองประเทศ พร้อมชื่นชมศักยภาพของงานวิจัยที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่

ภายในงาน รองศาสตราจารย์ ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้กล่าวเปิดงานและรับฟังสรุปผลการดำเนินงานวิจัย นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ได้กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญของโครงการและยกย่องความมุ่งมั่นของนักวิจัยที่ร่วมสร้างผลงานที่เกิดประโยชน์ต่อพื้นที่และประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

ยังมีการเปิดตัว ศูนย์ Thai-China CBEC Incubation Center and BI Unit ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs ไทยสู่ตลาดจีน โดย ดร.ดนัยธัญ พงษ์พัชราธรเทพ ผู้อำนวยการศูนย์ ได้แนะนำศูนย์และอธิบายถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการผ่านการบ่มเพาะและการใช้ข้อมูลเชิงลึก (Business Intelligence) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดประเทศจีน
ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรม From Local to Global: วิพากษ์จุดแข็ง – จุดอ่อนสินค้าไทยก่อนตีตลาดจีน เพื่อให้ผู้ประกอบการได้วิเคราะห์และปรับปรุงผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาดให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวจีน รวมถึงเสริมโอกาสในการเจรจาธุรกิจในอนาคต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ยังได้นำเสนอหลักสูตรที่มุ่งเน้นการศึกษาและวิเคราะห์ตลาดจีน
ในงานยังมีการนำเสนอโมเดลความสำเร็จจากผู้ประกอบการที่ผ่านกระบวนการวิจัยและการบ่มเพาะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรรฆพร ก๊กค้างพลู หัวหน้าโครงการวิจัย ได้กล่าวถึงความสำคัญของโครงการนี้ โดยกระบวนการวิจัยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2566 และต่อเนื่องสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มที่มีความพร้อมใช้งานจริงในปี 2567 ผ่านกลไกเชื่อมโยงผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดจีน

ด้าน ดร.วรรณิภา คุดสีลา นักวิจัยผู้รับผิดชอบด้านแพลตฟอร์ม ได้นำเสนอรายละเอียดเชิงลึกและศักยภาพของแพลตฟอร์ม Sino Thai Mart ที่จะเป็นช่องทางสำคัญในการขยายโอกาสทางการค้า

ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ยังได้รับโอกาสเข้าร่วมงาน คุนหมิง เอ็กซ์โป ระหว่างวันที่ 19–24 มิถุนายน 2568 จนสามารถนำสินค้าไทยไปเจรจาธุรกิจและรับคำสั่งซื้อจริงจากลูกค้าชาวจีน โดยสินค้าดังกล่าวผ่านการคัดเลือกในกิจกรรมวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่ต่อยอดจากงานวิจัยไปสู่การปฏิบัติได้จริง

ในช่วงท้ายของพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จุฑาทิพย์ เฉลิมผล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายบริหารงานวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เป็นผู้แทนรับมอบผลงานวิจัยและแพลตฟอร์ม Sino Thai Mart เพื่อนำไปขยายผลและสานต่อโครงการวิจัยในปีงบประมาณ 2568 โดยแนวทางต่อไปจะมีการนำเสนอ ยุทธศาสตร์การใช้ประโยชน์แพลตฟอร์มในอนาคต ภายใต้ข้อคิดเห็นจากผู้ประกอบการผู้ใช้งาน

โครงการนี้ถือเป็นต้นแบบสำคัญของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัย และภาคธุรกิจ ที่สามารถนำงานวิจัยไปต่อยอดสู่การปฏิบัติได้จริง และสร้างผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว.

สัมผัสแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ “น้ำพุร้อนดอยสะเก็ดบ้านโป่งสามัคคี” จ.เชียงใหม่

สัมผัสแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ “น้ำพุร้อนดอยสะเก็ดบ้านโป่งสามัคคี” จ.เชียงใหม่

“น้ำพุร้อนดอยสะเก็ดบ้านโป่งสามัคคี”แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและธรรมชาติที่เป็นเป้าหมายใหม่ ของผู้รักการพักผ่อนแบบผสมผสานความร่มรื่นและการดูแลสุขภาพ แห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง มองเห็นวิวท้องทุ่งนาและชุมชนในสไตล์ชนบทเชียงใหม่อย่างงดงาม

“บ้านโป่งสามัคคี” ต.ป่าเมี่ยง แห่งนี้มีต้นกำเนิดน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เกิดจากรอยแตกของเปลือกโลก ทำให้น้ำใต้ดินที่อัดแน่นไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ผุดขึ้นมาที่อุณหภูมิราว 45 – 60 องศาเซลเซียส น้ำพุร้อนในดอยสะเก็ดมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย บำรุงผิวพรรณ และช่วยระบบไหลเวียนโลหิต เหมาะทั้งกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริงและผู้ที่สนใจด้านสุขภาพแบบองค์รวม

การเดินทางมาที่นี่สะดวกสบาย สามารถเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง 40 นาที จากแยก (ห้างเซนทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ – เชียงราย) สามารถสัมผัสความเขียวขจีของผลิตผลทางการเกษตรตลอดเส้นทาง ช่วงหน้าหนาว นักท่องเที่ยวยังได้รับโอกาสสัมผัสไอหมอกเย็นตามธรรมชาติที่โอบล้อมบริเวณแอ่งน้ำพุ เพิ่มบรรยากาศเสมือนพักผ่อนในภูเขาอย่างแท้จริง

สิ่งอำนวยความสะดวกที่น้ำพุร้อนบ้านป่าเมี่ยงได้จัดเตรียมไว้นั้น ได้แก่ บ่อแช่น้ำร้อนแยกชาย-หญิง พร้อมจากุซซี่น้ำพุร้อน, โซนล้างตัวก่อนและหลังแช่ เดินเล่นรอบบ่อชมวิว
และยังมีบริการนวดแผนไทยและนวดเท้า มอบการผ่อนคลายอย่างล้ำลึก

นอกจากนั้น น้ำพุร้อนดอยสะเก็ดบ้านป่าเมี่ยงยังเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่นี่ใช้ระบบน้ำร้อนหมุนเวียน ไม่ปล่อยน้ำทิ้งโดยตรงสู่สิ่งแวดล้อม แกนนำชุมชนยังจัดกิจกรรมเวิร์คช็อป เช่น การปลูกป่า เรียนรู้เรื่องธำรงชีวมณฑล การทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้การท่องเที่ยวเกิดความยั่งยืน ทั้งกับคนในพื้นที่และสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ทางชุมชนตั้งเป้าเตรียมนำระบบ “โฮมสเตย์เพื่อสุขภาพ” เปิดให้ผู้สนใจพักผ่อนแบบเจาะลึก ร่วมกิจกรรมเชิงสุขภาพ เช่นเรียนรู้สมุนไพรพื้นเมือง อย่างใกล้ชิดกับวิถีชุมชน

นับเป็นโอกาสทองของนักท่องเที่ยวที่ต้องการหนีความวุ่นวายในเมือง หลีกหนี้ฝุ่น PM2.5 และกลับมาพบกับตัวเองผ่านธรรมชาติ และแหล่งน้ำร้อนดั้งเดิมที่มีคุณภาพสูง โครงการยังส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนแบบตอบแทนและกระจายรายได้สู่คนในพื้นที่ โดยสลับตัวเวิร์คกับกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มคนทำงานศิลปะพื้นบ้าน เป็นต้น

“ไม่ว่าจะกลุ่มเพื่อน ครอบครัว หรือแม้แต่คนเดินทางคนเดียว ที่นี่มีพื้นที่ให้คุณได้สัมผัสความสุขอย่างแท้จริง”

อย่าลืมเตรียมผ้าเช็ดตัว ชุดสบาย ๆ และรองเท้าแตะมาแช่ ถ้าอยากเติมพลังชีวิตให้เต็มที่ เริ่มต้นวันใหม่แบบสดใส ให้ “น้ำพุร้อนดอยสะเก็ดบ้านโป่งสามัคคี” เป็นหนึ่งในปลายทางของคุณในครั้งต่อไป!

“น้ำพุร้อนดอยสะเก็ดบ้านโป่งสามัคคี” พร้อมต้อนรับทุกคนให้มาเติมเต็มทั้งพลังกายและใจ เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ หากใครสนใจมาสำรวจและจองล่วงหน้า สามารถติดต่อได้ที่เพจ Facebook “น้ำพุร้อนดอยสะเก็ด” เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 8:00 – 20:00 น. โทร.0917690002, 0810273047.

กรมปศุสัตว์ – ออสเตรเลีย ผนึกกำลังจัดโครงการอบรม Master Butcher ยกระดับโคเนื้อไทยสู่ตลาดโลก

กรมปศุสัตว์ – ออสเตรเลีย ผนึกกำลังจัดโครงการอบรม Master Butcher ยกระดับโคเนื้อไทยสู่ตลาดโลก

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 กรมปศุสัตว์ โดย ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เชียงใหม่ กองผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ จัดโครงการอบรม “การยกระดับการตัดแต่ง การแปรรูป และการตลาดโคเนื้อและผลิตภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศ (Master Butcher)” ครั้งที่ 2/2568 สำหรับพื้นที่ภาคเหนือ ภายใต้ความร่วมมือด้านโคเนื้อไทย–ออสเตรเลีย ระหว่างกรมปศุสัตว์และสถานเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย

โดยได้รับเกียรติจาก นายสัตวแพทย์พืชผล น้อยนาฝาย ปศุสัตว์เขต 5 เป็นประธานในพิธีเปิด และ Dr. Rob Atkinson Agriculture Counsellor, DAFF กล่าวแสดงเจตนารมณ์ความร่วมมือทางวิชาการไทย–ออสเตรเลีย พร้อมด้วย ดร.อำพล วริทธิธรรม ผู้อำนวยการกองผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ กล่าวรายงานรายละเอียดการจัดโครงการ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ในกิจกรรมการอบรม ได้เชิญเจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน Meat and Livestock Australia (MLA) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมเนื้อโค เข้าร่วมในฐานะวิทยากรถ่ายทอดประสบการณ์ตรงให้กับเกษตรกรผู้ผลิตเนื้อโคไทย กว่า 30 ราย พร้อมรับฟังความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ตลอดกิจกรรม

ซึ่งมีเนื้อหาประกอบด้วย การจัดการระบบการผลิตเนื้อโคของออสเตรเลีย แนวทางเพิ่มมูลค่าเนื้อโค เทคนิคการตัดแต่ง การจัดแสดง การปรุงเมนูจากเนื้อโค และการชิมผลิตภัณฑ์พร้อมวิเคราะห์รสชาติ โดยมุ่งเน้นการฝึกทักษะทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เพื่อพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและบุคลากรในอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อโคของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล.