“รับจ้างตัดไม้” รับเนื้อๆ เน้นๆ ทำงานไม่ถึงวัน เข้ากระเป๋าเต็มๆ 3 พัน

หนุ่มเชียงใหม่ ยึดอาชีพตัดต้นไม้ใหญ่ อาชีพเสี่ยง แต่รายได้ดี ต้องมีความสามารถ ในการใช้สลิงโหนตัว และทำตัวเหมือนแมงมุม ในการตัดกิ่งไม้ใหญ่ ช่วงว่างยังชอบนอนบนกิ่งต้นไม้สูง ไม่ลงมารอบนพื้น ไม่ต้องปริญญารับเต็มไม่ถึงวันรับ 2-3 พันบาท

นาย ใจคิด หนุ่มวัย 31 ปี ยึดอาชีพรับตัดต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเจ้าตัวมีความสามารถ ในการใช้เลื่อยยนต์ขึ้นไปตัด ต้นไม้ใหญ่ ที่ปกคุมใกล้อาคารบ้านเรือน ซึ่งตัดแต่ละครั้ง ต้องมีรถเครนขนาดใหญ่ ในการช่วยดึง กิ่งต้นไม้ในการนำลงบนพื้น เจ้าตัวก็จะห้อยโหน บนลวดสลิง ของรถเครน ในการเคลื่อนไหว ไปมาบนต้นใหญ่ หรือใช้สลิงยึดตัวกับกิ่งไม้ จากนั้นก็จะใช้เลื่อยยนต์ตัด ให้เครนยกกิ่งไม้ใหญ่ ลงมาด้านล่าง ให้คนงานตัด เป็นท่อนขนาดเล็กๆ

การตัดกิ่งบนความสูง ต้องเซฟตี้ตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกลงมา โดยใช้สลิงยึดกับลำตัว และยึดกับกิ่งไม้ไว้ เพื่อความปลอดภัย นาย ใจคิด ก็จะใช้สลิงช่วยและเดินไปมาตามกิ่งไม้ ในการหามุม ใช้เลื่อยยนต์ ตัดกิ่งไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งบางครั้งก็ดูหวาดเสียวไม่น้อย แต่เจ้าตัวคล่อง ในการปีนป่าย และเดินรอบๆ กิ่ง บางครั้งโหนตัวบนสลิง เปลี่ยนกิ่งไม้ไปมา และยังมีการโหนตัวเล่นท่ายาก เหมือนลอยอยู่กลางอากาศ เพื่อผ่อนคลาย หากเมื่อยก็จะนอน อยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ซึ่งหลายคนยังยกนิ้วให้ในความสามารถ

นายใจคิด ยังมีฝีมือในการตัดไม้ ได้ตามความต้องการ ของคนสั่งตัด ตัดไม้แต่ละกิ่ง แทบไม่มีหน้าไม้เบี้ยว เรียบสวยงาม นายใจคิดบอกว่า การตัดต้องมีเทคนิค หากตัดไม่เป็น กิ่งไม้อาจเวี่ยงเข้าหาตัวคนตัดได้ ซึ่งเสี่ยงอันตราย ได้รับบาดเจ็บ หรืออาจตกต้นไม้ได้ การตัดต้องมีความแม่นยำ ซึ่งตนเองยึดอาชีพนี้ มานานหลายปี และรายได้ยังดี แม้ว่าจะเสี่ยงอยู่กับความสูง แต่ก็มีเซฟตี้ที่ดี เน้นความปลอดภัย ตัดแต่ละครั้งมีรายได้ 2,000 – 3,000 บาท ใช้เวลาไม่ถึง 1 วัน แต่ก็ไม่ได้มีงานทุกวัน อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นอาชีพที่มีรายได้ดี

แอบขายเบียร์ในงานฤดูหนาว ปกครองตรวจเจอจะจะจับได้ 2 ราย

จับ 2 ราย หัวใสแอบแช่เบียร์ขายในงานฤดูหนาว ทำเลเหมาะตั้งขายใกล้เวทีคอนเสิร์ต อ.เมืองเชียงใหม่ บูรณาการออกตรวจตราจับกุม

วันที่ 8 ม.ค. 68 ตั้งแต่เวลา 21.30 น. เป็นต้นไป นายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายชัยณรงค์ นันตาสาย ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองเชียงใหม่ โดย นายศิริพงษ์ นำพา รักษาการนายอำเภอเมืองเชียงใหม่ มอบหมายให้ นายธนไชย สอนอินทร์ นางสาวปรียารัตน์ อธิกคีรีพงศ์ และนางสาวภิญญาพัชญ์ สรณวัชรเอกกากุล ปลัดอำเภอเมืองเชียงใหม่ พร้อมด้วย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอเมืองเชียงใหม่ที่ 2 บูรณาการร่วมกับ ว่าที่ร้อยตรีสมชาย กะหลู่ จ่าจังหวัดเชียงใหม่, นายสุเมธ ทนะขว้าง ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดเชียงใหม่, สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงใหม่ที่ 1, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ช้างเผือก ออกตรวจตราในพื้นที่บริเวณการจัดงานฤดูหนาว นางสาวเชียงใหม่ และงาน OTOP ของดีเมืองเชียงใหม่ ประจำปี 2568

มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่พบการกระทำความผิดตามกฎหมาย มีการจำหน่ายแอลกอฮอล์ (เบียร์กระป๋อง) โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 155 วรรคหนึ่ง จำนวน 2 ร้านค้า ได้แก่ ร้านค้า นายวิทูรย์ฯ ตั้งบริเวณด้านหน้าประตูทางเข้าเวทีคอนเสิร์ต พบ ถังแช่ น้ำแข็งสีน้ำเงิน ขนาด 200 ลิตร จำนวน 3 ถัง ด้านในทางประกอบด้วย เบียร์ยี่ห้อสิงห์ ช้าง และ ลีโอ จำนวนมาก และมีป้ายแสดงราคา และอีกจุด ตั้งบริเวณกลางซอยหน้าประตูทางเข้าเวทีคอนเสิร์ต พบ ถังแช่ น้ำแข็งสีน้ำเงิน ขนาด 200 ลิตร จำนวน 3 ถัง ด้านในทางประกอบด้วย เบียร์ยี่ห้อสิงห์ ช้าง และ ลีโอ จำนวนมาก เช่นกัน

อีกร้าน เป็นร้านค้านายธนพลฯ ตั้งบริเวณริมซ้ายสุดด้านหน้าประตูทางเข้าเวทีคอนเสิร์ต พบ ถังแช่ น้ำแข็งสีน้ำเงิน ขนาด 200 ลิตร จำนวน 2 ถัง มี 1 ถัง ด้านในทางประกอบด้วย เบียร์ยี่ห้อสิงห์ จำนวน 4 กระป๋อง นายธนพลฯ รับสารภาพว่าได้มีการจำหน่ายแอลกอฮอล์จริง (เบียร์สิงห์แบบกระป๋อง) ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. 68 ภายในงานฯ และมีการเปิดฝาถังแช่น้ำแข็งให้สามารถเห็นเครื่องดื่มที่ขายอย่างชัดเจน

เจ้าหน้าที่ทำการจับกุม ผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ร้าน ในข้อหา “การจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีโทษ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท ตามมาตรา 196 และนำส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป

นาไหนเผาไม่ให้น้ำ ชลประทานแจ้งคาดโทษพื้นที่เกษตรมีเผา ปจ.เชียงใหม่สั่งเร่งสำรวจข้อมูล

เชียงใหม่ เร่งหารือแนวทางการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ด้านชลประทาน ไม่ปล่อยน้ำให้กับกลุ่มผู้ใช้น้ำหากมีการเผาในพื้นที่การเกษตร ปจ.เชียงใหม่สั่งเร่งสำรวจพื้นที่การเกษตร พื้นที่พร้อมไถกลบ ย้ำให้ได้ตัวเลขที่แน่ชัด

วันที่ 8 ม.ค. 68 ที่ผ่านมา นายชัยณรงค์ นันตาสาย ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นางณัฐธัญ กาหลง เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่ , นายเจริญ พิมพ์ขาล เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ , นายชนม์ฐพัฒน์ เครือศรี หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน โครงการชลประทานเชียงใหม่ , สำนกังานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ณ ห้องประชุมที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงใหม่ ชั้น 2 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่จำนวน 14,022,546 ไร่ เป็นพื้นที่ป่า จำนวน 9,614,645 ไร่ คิดเป็น 68.57 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่การเกษตร จำนวน 3,449,428 ไร่ คิดเป็น 24.60 เปอร์เซ็นต์ และพื้นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ จำนวน 958,473 ไร่ คิดเป็น 6.83 เปอร์เซ็นต์

การบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ปี 2568 โดยสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รุ่น 1 (ฤดูฝน) ปีการผลิต 2567/68 (คาดการณ์) จำนวน 256,967 ไร่ เป็นพื้นที่ราบ 24,671 ไร่ คิดเป็น 9.6 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ลาดชัน 232,293 ไร่ คิดเป็น 90.4 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิตเฉลี่ย จำนวน 950 กิโลกรัมต่อไร่ อำเภอที่ปลูกมาก ได้แก่ อำเภอแม่แจ่ม, เชียงดาว, แม่อาย, เวียงแหง (ตามลำดับ) ปริมาณวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร จำนวน 698,085.53 ตัน สำหรับพื้นที่ผลิตข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 (รวมข้าวไร่) จำนวน 507,131.75 ไร่ เป็นพื้นที่ราบ 323,029 ไร่ คิดเป็น 63.7 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ลาดชัน 184,103 ไร่ คิดเป็น 36.3 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิตเฉลี่ย จำนวน 618 กิโลกรัมต่อไร่ อำเภอที่ปลูกมาก ได้แก่ อำเภออมก๋อย, แม่อาย, แม่แจ่ม, เชียงดาว และพร้าว (ตามลำดับ) ปริมาณวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร จำนวน 153,569.64 ตัน ส่วนพื้นที่ผลิตลำไย ปีการผลิต 2567 จำนวน 448,291 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย จำนวน 952 กิโลกรัมต่อไร่ อำเภอที่ปลูกมาก ได้แก่ อำเภอจอมทอง, พร้าว, ดอยเต่า, เชียงดาว และสันป่าตอง (ตามลำดับ) ปริมาณวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร จำนวน 224,145.50 ตัน พื้นที่ปลูกมะม่วง ปีการผลิต 2567 จำนวน 71,947 ไร่ ผลผลิตรวม จำนวน 73,520 ตัน ผลผลิตเฉลี่ย จำนวน 1,057 กิโลกรัมต่อไร่ อำเภอที่ปลูกมาก ได้แก่ อำเภอแม่แจ่ม, เชียงดาว, แม่อาย และเวียงแหง (ตามลำดับ) ปริมาณวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร จำนวน 35,973.50 ตัน รวมวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในภาพรวมทั้งจังหวัด 1,111,774.17 ตัน

นายชนม์ฐพัฒน์ เครือศรี หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน โครงการชลประทานเชียงใหม่ รายงานในที่ประชุมว่า ในส่วนของชลประทาน ได้พูดคุยกับกลุ่มผู้ใช้น้ำ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า หากมีการเผาในพื้นที่การเกษตรก็จะไม่มีการส่งน้ำให้ ตั้งแต่ก่อนช่วงฤดูกาลเพาะปลูก ซึ่งพื้นที่ของชลประทานทั้งจังหวัดเชียงใหม่ มีทั้งหมด 980,000 ไร่ คิดเป็น 28 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เกษตร และ 2 ล้านกว่าไร่ อยู่นอกเขตพื้นที่ชลประทาน

ด้าน นายชัยณรงค์ นันตาสาย ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ ได้แจ้งให้กับที่ประชุมเพื่อดำเนินการเร่งด่วน ในการสำรวจพื้นที่การเกษตรให้แน่ชัด รวมทั้งพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าด้วย ว่ามีทั้งหมดกี่ไร เป็นพืชชนิดไหนบ้าง รวมทั้งพื้นที่ฝังกลบมีจำนวนกี่ไร่ จุดที่จะทำการฝังกลบต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งเป็นของชลประทาน เพื่อให้ทราบตัวเลขที่แน่ชัดในแต่ละพื้นที่ ที่จะนำมาบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในส่วนที่ทางการเกษตรที่ไม่สามารถฝังกลบได้ ก็ให้แต่ละอำเภอรวบรวมข้อมูลดังกล่าวเพื่อส่งให้กับสำนักงานเกษตรฯ ที่จะดำเนินการตามนโยบายในการหาแนวทางแก้ไขปัญหา ที่จะลดการเผา ซึ่งให้ทุกอำเภอเร่งดำเนินการสำรวจข้อมูลให้แล้วเสร็จภายในวันศุกร์ ที่ 10 ม.ค. 68 นี้ เพื่อดำเนินการวางแผนบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป

หญิงชาวเขาป่วยเป็นมะเร็งถูกหลอกกู้เงินธนาคารเป็นหนี้เกือบ 3 แสน

หญิงชาวเขา ต.บ่อแก้ว อ.สะเมิง ป่วยเป็นมะเร็ง อ่านหนังสือไม่ออก ถูกหลอกให้เซ็นเอกสารกู้เงินธนาคารแห่งหนึ่งกลายเป็นหนี้เกือบ 3 แสนบาท หลังได้รับเอกสารทวงหนี้ เจ้าตัวเครียดหนักเผยไม่เคยได้ใช้เงินจำนวนนี้เลยแม้แต่บาทเดียว เผยเคยไปสอบถามกับธนาคารกลับถูกไล่หลายครั้ง

ตัวแทนจากสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ เข้าตรวจสอบเอกสารและสอบถามรายละเอียดกับนายจันทร์ นามสมมุติ อายุ 64 ปี และนางมี (นามสมมุติ) อายุ 57 ปี ชาวบ้านสบห้วยฟาน ต.บ่อแก้ว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ หลังจากญาติได้ประสานขอความช่วยเหลือจากคณะอนุกรรมการสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ กรณีนางมี นามสมมุติถูกหลอกให้เซ็นเอกสารกู้เงินธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาอำเภอสะเมิง ตั้งแต่ปี 2552 จนปัจจุบันเป็นหนี้สะสมรวมทั้งหมด 279,861.50 บาท เพื่อรวบรวมข้อมูล และเอกสารในการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายกับนางมีฯ

นางมี นามสมมุติ เล่าว่า ตนกับสามีอ่านหนังสือไม่ออก อาศัยอยู่บ้านกับลูกที่สติไม่สมประกอบ ส่วนลูกอีก 2 คนไปทำงานต่างจังหวัด ก่อนปี 2552 นายจันทร์ฯ สามีตนพร้อมเพื่อนในกลุ่มรวมทั้งหมด 5 คน ได้ขอสินเชื่อจากธนาคารแห่งหนึ่งลักษณะเป็นสมาชิกกู้เงินเป็น กลุ่มค้ำประกันซึ่งกันและกัน ทำให้สามีตนเป็นหนี้กับธนาคารฯ ทั้งหมด 2 หมื่นบาท แต่พอถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ฯ นายจันทร์ฯ ไม่มีเงินพอที่จะชำระหนี้ หัวหน้ากลุ่มจึงได้เสนอจะจ่ายเงินชำระหนี้ให้ก่อนรวมเป็นเงิน 2 หมื่นบาท หลังจ่ายหนี้เดิมแล้วจากนั้นสามีตนได้กู้เงินจากธนาคารฯ อีก 3 หมื่นบาท เพื่อคืนเงินให้หัวหน้ากลุ่ม 2 หมื่นกว่าบาทรวมดอกเบี้ย ต่อมาอีก 2-3 วันหัวหน้ากลุ่มฯ ได้มาที่บ้านพูดคุยเรื่องที่เคยให้ความช่วยเหลือพร้อมกับแจ้งว่าจะตัดชื่อสามีออกจากบัญชีของสมาชิกธนาคารและให้ตนเป็นสมาชิกฯ แทนสามี หลังจากนั้น ปี พ.ศ.2552 เจ้าหน้าที่ธนาคารฯ ได้มาที่บ้านเพื่อเอาเอกสารประกอบด้วยทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชน เพื่อทำสำเนาเปิดบัญชีธนาคาร 200 บาท ซึ่งตนระบุว่าไม่มีเงิน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่เป็นไร

ต่อมา เจ้าหน้าที่ธนาคารมาขอให้เซ็นเอกสารเพื่อกู้เงิน ซึ่งตนได้ปฏิเสธ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารได้มาอีกครั้งโดยอ้างว่า จะให้เงินกู้ 5 พันบาท และบอกว่าให้ไปเซ็นเอกสารและไปรับเงินวันศุกร์ แต่ก็ไม่ได้รับเงินตามที่เจ้าหน้าที่บอกแต่อย่างใด จึงไม่สนใจ ต่อมาปี 2556 ตนได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดต้องพักฟื้นอยู่หลายปี มาทราบภายหลังจากมีคนเอาสมุดบัญชีธนาคารมาให้ 3 เล่ม ระบุว่าตนได้เป็นหนี้ธนาคาร 150,000 บาท หลังจากนั้นช่วงเดือนธันวาคม ปี 2561 จึงได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมที่ศูนย์ดำรงธรรม อ.สะเมิง แต่ไม่มีความคืบหน้า ระหว่างนั้นตนได้รับหนังสือแจ้งหนี้จากธนาคารตลอดจึงร้อนใจ ร้องทุกข์ที่ อบต.บ่อแก้ว อ.สะเมิง ซึ่งทาง อบต. ได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมา เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ได้เดินทางไปที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการฟ้องร้องจากธนาคารหลังจากนี้ไม่ต้องไปเซ็นเอกสารใดๆ จากธนาคาร หลังจากนั้นได้รับเอกสารจากธนาคารฯ หลายฉบับ แต่ตนอ่านไม่ออกจึงสอบถามลูกหลานทราบว่า เป็นเอกสารใบจัดสรรชำระหนี้ ใบแจ้งหนี้ ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับหนี้สินที่มี และไม่ได้เงินมาใช้แม้แต่บาทเดียว

จากนั้นได้เดินทางไปที่ธนาคารฯ หลายครั้ง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้บอกว่า จะทำหนี้ให้เป็นศูนย์ให้ บางครั้งก็ถูกไล่ออกจากธนาคาร และครั้งล่าสุดได้นำหนังสือแจ้งหนี้ไปพบเจ้าหน้าที่ธนาคาร เจ้าหน้าที่ระบุหากได้รับหนังสือก็ให้ฉีกทิ้งถ้าฉีกไม่ไหวก็จะช่วยฉีกให้ ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ธนาคาร หาว่าเป็นบ้า ไล่ออกจากธนาคาร ต่อมาเมื่อปี 2567 ตนได้รับการติดต่อจากธนาคาร ว่า กลุ่มคนที่มีรายชื่อค้ำประกันเงินกู้ได้มายื่นเงื่อนไงให้ตนไปเซ็นเอกสาร หากยอมไปเซ็นจะทำให้เรื่องหนี้สินกลายเป็นหนี้สูญ ซึ่งตนปฏิเสธ ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีหนังสือแจ้งจากธนาคารว่าตนมีหนี้สินรวมดอกเบี้ยทั้งหมด 279,861.50 บาท ทำให้ตนกับสามีเกิดความไม่สบายใจ ตอนนี้ก็อายุมากแล้วต้องดูแลลูกที่สติไม่สมประกอบ รายได้ที่มีได้จากการทำไร่ ทำสวน ทอผ้า ไม่มีปัญญาจะหาเงินมาใช้หนี้ก้อนนี้ เกรงว่าหากจากโลกนี้ไปจะทิ้งหนี้ไว้ให้กับลูกทั้ง 3 คน

ขณะที่ นายท็อป นามสมมุติ ลูกของนางนางมีฯ กล่าวว่า หลังจากทราบเรื่องตนพยายามช่วยเหลือแม่ เนื่องจากทั้งพ่อและแม่อ่านหนังสือไม่ออก แต่เขียนชื่อตัวเองได้เท่านั้น ซึ่งจากการสังเกต บัญชีธนาคารทั้ง 3 เล่ม ที่ได้ ได้รับมาหลังจากไปอยู่ที่ไหนไม่รู้นานหลายปี ซึ่งสมุดเล่มแรกในรายการระบุว่าวันที่ 23/03/52 มีการฝากเงินเปิดบัญชี 200 บาท ต่อมา 19/05/52 เงินเข้าบัญชี 150,000 บาท และถอนเงิน 150,000 และมีการฝากเงิน 2 พันบาทในวันเดียวกัน หลังจากนั้นก็ไม่มีรายละเอียด ส่วนบัญชีธนาคารเล่มที่ 2 และเล่มที่ 3 คาดว่าจะมีการเปลี่ยนสมุดบัญชีแทนเล่มแรก เนื่องจากมีรายละเอียดเงินเชื่อมโยงกัน แต่จะมีจะมีเงินฝากครั้งล่ะ 3-4 พันบาท และถอนทันทีหลายครั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีคนจ่ายค่างวดให้ จนหลังๆ ไม่มีการฝากเงินเลย จนมีหนังสือแจ้งหนี้จากธนาคาร อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาหลังจากแม่ทราบว่าเป็นหนี้ธนาคารแม่ไม่เคยนิ่งนอนใจพยายามติดต่อธนาคารหลายครั้ง แต่ถูกหลอก ถูกไล่ จนเกิดความเครียด ถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หลังได้รับหนังสือจากธนาคารและพยายามเดินทางร้องขอความเป็นธรรมจากหลายหน่วยงาน แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ทำให้ตนและคนในครอบวิตกกังวลและเกิดความเครียดตลอด ประกอบกับตนไปทำงานอยู่ไกลก็มีความเป็นห่วงทั้งเรื่องสุขภาพเกรงว่าจะล้มป่วยไปอีก นอกจากนี้ตนและพี่น้องต่างกังวลว่า หากแม่มีอันเป็นไปภาะหนี้สินจะตกไปสู่ลูกหลานในอนาคต จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือครอบครัวของตนด้วย

สันกำแพงเพลิงไหม้บ้านรับอรุณ ของเก่าเก็บในบ้านเป็นเชื้อเพลิง วอดทั้งหลัง

เพลิงไหม้วอดทั้งหลัง เหตุในตำบลแช่ช้าง เจ้าบ้านคาดมาจากไฟฟ้าลัดวงจร ผ่านมาคัตเอาต์เด้งหลายครั้ง ผสมกับของเก่าที่เก็บมาขายมีในบ้านเป็นจำนวนมาก ล้วนเชื้อเพลิงอย่างดี อำเภอสันกำแพงเร่งให้ความช่วยเหลือ

วันนี้ 4 มกราคม 2568 เวลา 09.00 น. นายภิญโญ พัวศรีพันธุ์ นายอำเภอสันกำแพง มอบหมายให้ปลัดอำเภอ พร้อมสมาชิก อส. ผู้ใหญ่บ้าน และจนท.ตำรวจ สภ.สันกำแพง ลงพื้นที่ตรวจสอบจากการที่ได้รับแจ้งว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้ บ้านเลขที่ 100/1 ซ.6/1 ม.8 ต.แช่ช้าง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่

จากการสอบถามข้อมูลเบื้องต้น พบว่า บ้านที่เกิดเหตุมีผู้อาศัย 2 คน ได้แก่ นายสมพงค์ อายุ 58 ปี ลูกชาย มีอาชีพเก็บของเก่าขาย และนางปราณี อายุ 79 ปี มารดา โดย นายสมพงค์ฯ แจงว่า เช้านี้ตนได้ออกไปเก็บของเก่าเพื่อนำมาขายตามปกติ หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนบ้านก็ไปแจ้งว่าบ้านไฟไหม้ ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากไฟฟ้าลัดวงจร เนื่องจากบ้านใช้คัตเอาต์ไฟฟ้าแบบเก่า ที่ผ่านมาคัตเอาต์เด้งและตัดไฟอัตโนมัติมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้คาดว่าคัตเอาต์ไม่ตัดการทำงานอัตโนมัติ จึงเกิดเหตุไฟไหม้บ้าน ประกอบกับบ้านมีอายุ 30 กว่าปี เป็นผนังไม้ ภายในบ้านมีของเก่าที่เก็บมาเพื่อขายเลี้ยงชีพจำนวนมาก เช่น กล่องกระดาษ ขวด เป็นต้น

ทั้งนี้เหคุเกิดช่วงเวลาประมาณ 07.30 น. นางปราณีฯ ขณะที่เดินอยู่นอกบ้านเห็นกลุ่มควันในบ้านตนจึงรีบขอให้เพื่อนบ้านช่วยแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ

จากการตรวจสอบพบความเสียหายเป็นบ้านทั้งหลัง ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ รถดับเพลิงจาก อบต.แช่ช้าง อบต.สันกำแพง ทต.สันกำแพง และภาคเอกชน เข้าช่วยเหลือดับไฟได้ประมาณ 08.30 น.

ปีใหม่ 2568 กว่า 2.3 แสนคน ใช้สนามบินเชียงใหม่เดินทาง เพิ่มจากปกติ 8%

เทศกาลปีใหม่ ท่าอากาศยานเชียงใหม่รับคนเดินทางกว่า 3.3 หมื่นคนต่อวัน เพิ่มจากปีที่แล้วกว่า 19% กอญ.ทอท.ลัดฟ้าตรวจให้กำลังใจพร้อมชื่นชมการปฏิบัติงานของ ทชม. ที่รับมือช่วงคับคั่งได้อย่างเรียบร้อย เผยปรับปรุงท่าอากาศยานระยะที่ 1 ถ้า EIA ผ่าน เริ่มก่อสร้างได้ปลายปี 68 ส่วนสนามบินล้านนาสู่กระบวนการทำการศึกษาแล้ว

วันที่ 2 มกราคม 2568 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (กอญ.) เดินทางตรวจเยี่ยมท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) เพื่อติดตามการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตามนโยบายของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมี นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ และผู้บริหารท่าอากาศยานเชียงใหม่ ร่วมนำเสนอข้อมูลและรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบาย “เทศกาลความสุข ทุกที่ทั่วไทย เดินทางสะดวก ปลอดภัย บนโครงข่ายคมนาคม” ในห้วงวันที่ 26 ธันวาคม 2567 – 1 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ จำนวนมาก

ทั้งนี้พบว่าตลอด 6 วันช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 มีผู้โดยสารเดินทางผ่านท่าอากาศยานเชียงใหม่ ทั้งสิ้น 234,076 คน หรือเฉลี่ยวันละ 33,439 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาปกติร้อยละ 8 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.67 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด แบ่งเป็นสัดส่วนผู้โดยสารเส้นทางภายในประเทศร้อยละ 70.16 และผู้โดยสารเส้นทางระหว่างประเทศร้อยละ 29.84 โดยจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้น เป็นผลมาจาก การที่รัฐบาลได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในภาคเหนือ ประกอบกับการที่จังหวัดเชียงใหม่มีการจัดกิจกรรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวหลากหลายกิจกรรม

กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.ได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมกันบูรณาการอำนวยความสะดวกและดูแลรักษาความปลอดภัยในช่วงที่มีผู้โดยสารคับคั่ง โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์เชิญชวน และแนะนำให้ผู้โดยสารใช้บริการระบบ Self Service ได้แก่ ระบบเช็คอินอัตโนมัติ (Common Use Self Service : CUSS ) ระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD หรือ Self-Bag Drop) และระบบตรวจสอบบุคคลด้วยใบหน้า (Biometric System) ที่สามารถอำนวยความสะดวกและเพิ่มความรวดเร็วในขั้นตอนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งพบว่าผู้โดยสารที่ใช้บริการระบบอัตโนมัติมีความพึงพอใจ และมีจำนวนผู้ใช้บริการมากขึ้น หลังจากเห็นถึงความสะดวกและรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน กอญ. ได้ติดตามความคืบหน้าในการติดตั้งช่องทางตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Auto Channel) เพื่ออำนวยความสะดวกในขั้นตอนการตรวจประทับตราหนังสือเดินทาง โดยมีแผนจะนำระบบดังกล่าวมาใช้รองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวในเทศกาลที่มีวันหยุดต่อเนื่องในโอกาสต่อไป

สำหรับความคืบหน้าโครงการตามแผนพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 ซึ่งได้เสร็จสิ้นกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมานั้น พบว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการ และขอให้ ทอท. ดูแลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ตามข้อห่วงใยของประชาชน ซึ่งหลังจากนี้หากรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ผ่านความเห็นชอบ คาดว่า จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงปลายปี 2568 นี้ ขณะเดียวกันได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 (สนามบินล้านนา) ควบคู่กันไป เพื่อรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศในอนาคต

หยุดยาว “ไส้อั่วบ้านอิฐ” ขี้เหล็ก อ.แม่แตง สินค้าโอท็อป ขายดี

ช่วงวันหยุดยาว ส่งผลให้ “ไส้อั่วบ้านอิฐ” ผลิตภัณฑ์โอท็อปในพื้นที่ ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ขายดี ยอดขายเพิ่มขึ้น 40% ยอดขายวันละกว่า 1 หมื่นบาท นักท่องเที่ยวนิยมซื้อเป็นของฝาก บางส่วนซื้อไปปิ้งย่างรับประทานช่วงมาท่องเที่ยวพักค้างที่เชียงใหม่ รับอากาศหนาว

นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอแม่แตง จ.เชียงใหม่ หรือขับรถไปท่องเที่ยว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ต่างพากันแวะซื้ออาหารเหนือ ข้าวเหนียวและไส้อั่วที่ร้านไส้อั่วบ้านอิฐ บ้านดงป่าลัน ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ที่ตั้งอยู่ถนนบายพาส ทางไปแหล่งท่องเที่ยว แหล่งสำคัญ เช่น หมู่บ้านห้วยกุ๊บกั๊บ ดอยม่อนเงาะ อ.แม่แตงและ ยาวไปถึง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่งผลให้ช่วงวันหยุดยาวยอดขายไส้อั่วที่ร้านนี้ขายดี ตั้งแต่ช่วงฤดูท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวันหยุดยาวมีนักท่องเที่ยวแวะเวียน ซื้อข้าวเหนียวไส้อั่ว ตลอดทั้งวัน

นายอนันต์ สิริภาคย์โภคิน เจ้าของร้านไส้อั่วบ้านอิฐ เปิดเผยว่า ร้านไส้อั่วบ้านอิฐ เปิดมานานกว่า 20 ปี เป็นสินค้าโอท็อปอีกอย่างหนึ่ง ของชาวตำบลขี้เหล็ก ที่นี่เราใช้วัตถุดิบจากชุมชนมาเป็นส่วนประกอบในการทำไส้อั่ว เช่นใช้เนื้อหมูจากเขียงหมูของชาวบ้านในชุมชน และใช้พืชผักสมุนไพร เช่นข่า ตะไคร้ พริกแห้ง พริกขี้หนูสด ขมิ้น ใบมะกรูด หอมแดง กระทียม และใบกระเพรา ที่ชาวบ้านปลูกเอง มาเป็นส่วนประกอบในการทำไส้อั่วสร้างรายได้ให้กับชุมชน ส่วนไส้อั่วของเรามีหลากหลายรสชาติให้เลือกรับประทาน เช่น ไส้อั่วหมูพริกแห้ง ไส้อั่วพริกสด ไส้อั่วกระดูกอ่อน ไส้อั่วตับหมู และไส้อั่วกระเพรา ซึ่งจะใช้วิธีย่างไส้อั่วด้วย “กะลามะพร้าว” และ “ถ่านบนเตา” ที่ก่อด้วยอิฐ แทนการทอดไส้อั่ว จะทำให้ไส้อั่วมีกลิ่นหอมควันไฟ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว โดยจะซื้อไปรับประทานกับข้าวเหนียว หรือเวลาไปแคมปิ้งก่อนจะก่อกองไฟนำไส้อั่วมาย่างไฟอุ่นทานร้อนๆ ช่วงอากาศหนาว

ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวบางส่วนก็จะซื้อไปฝากญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ขณะที่นักท่องเที่ยวบางส่วนที่ขับรถมาเที่ยว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน แล้วเดินทางกลับ ทางทิศใต้ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ก็จะแวะสั่งซื้อไส้อั่วกลับบ้านไปทานที่บ้าน

ทั้งนี้ทางร้านมีบริการ รับ สั่ง และส่ง โดยทางร้านจะคะเนระยะเวลาที่นักท่องเที่ยวเดินทางกลับถึงบ้าน หรือนักท่องเที่ยวอาจจะสั่งไปรับประทานที่บ้าน หรือเป็นของฝากให้แก่ญาติมิตร โดยสามารถโทรสั่งได้ที่ 062 892 8559 ซึ่งทางร้านก็จะส่งไส้อั่ว ให้ถึงที่พักของนักท่องเที่ยวทันกับวันที่นักท่องเที่ยวเดินทางกลับถึงบ้าน

ช่วงนี้อากาศในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ หนาวเย็น ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยว ส่งผลให้ยอดขายไส้อั่วขายดียอดขายเพิ่มขึ้น 40% จากเดิมขายได้เฉลี่ยวันล่ะ 5 – 6 พันบาท ทำให้ยอดขายเพิ่มเป็นวันล่ะ 1 หมื่นบาท ยิ่งช่วงใกล้วันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากนักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยเดินทางกลับ และมักจะแวะซื้อไปเป็นของฝากแก่คนทางบ้าน

คาดบินเข้าเชียงใหม่ 3.3 หมื่นต่อวัน ช่วงรับศักราชใหม่ 2568 การท่าฯ บูรณาการรับมือ

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ พร้อมอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยผู้โดยสาร นักท่องเที่ยว ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารเพิ่มจากปกติร้อยละ 10 หรือเฉลี่ยวันละ 33,000 คน

ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการปล่อยแถวเพื่อเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวก เทศกาลปีใหม่ 2568 บริเวณลานจอดรถบัสด้านทิศใต้อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2568 ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม เนื่องจากในช่วงเทศกาลปีใหม่ มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมาก ประกอบกับในปีนี้จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดกิจกรรมพิเศษเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวหลากหลายกิจกรรม ซึ่งการปล่อยแถวดังกล่าวเป็นการบูรณาการร่วมกันของเจ้าหน้าที่ ด้านความมั่นคงที่ปฏิบัติงาน ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ อาทิ ตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 และกองบิน 41 ตลอดจนส่วนราชการ สายการบินและผู้ประกอบการที่ให้บริการและอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ แก่ผู้โดยสาร พร้อมกันนี้ยังได้จัดพื้นที่ให้บริการจอดรถโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย บริเวณลานช้าง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2567 – วันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการด้วย

ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ คาดว่าจะมีเที่ยวบินทำการบินเฉลี่ย วันละ 205 เที่ยวบิน จากปกติวันละ 196 เที่ยวบิน และมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยวันละประมาณ 33,000 คน จากปกติวันละประมาณ 30,000 คนต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จำนวนผู้โดยสารบางวันในห้วงเวลาดังกล่าวจะสูงกว่า 35,000 คน ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง ซึ่งจากจำนวนผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการที่มีจำนวนมากดังกล่าว อาจทำให้เกิดความคับคั่งแออัดในบางห้วงเวลา จึงขอให้ผู้โดยสารเผื่อเวลาในการเดินทางมากกว่าปกติ และเลือกใช้บริการระบบให้บริการตนเองอัตโนมัติ (Self-Service) เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ได้แก่ เครื่องเช็คอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Service : CUSS ) ระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD หรือ Self-Bag Drop) ซึ่งเป็นระบบอำนวยความสะดวกและจัดการด้านกระเป๋าสัมภาระ ให้ผู้โดยสารสามารถ Drop กระเป๋าสัมภาระได้ด้วยตนเอง รวมทั้งระบบตรวจสอบบุคคลด้วยใบหน้า (Biometric System) ที่จะช่วยลดเวลาในกระบวนการตรวจสอบยืนยันตัวตนก่อนขึ้นเครื่อง

สำหรับการให้บริการเส้นทางบินของท่าอากาศยานเชียงใหม่ ปัจจุบันทำการบินทั้งสิ้น 28 เส้นทาง เป็นเส้นทางการบินภายในประเทศ 11 เส้นทาง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ และมีเส้นทางบินตรงระหว่างประเทศ 17 เส้นทาง โดยในเดือนธันวาคม มีสายการบินทำการบินใหม่ในเส้นทาง ปูซาน-เชียงใหม่-ปูซาน และมีเส้นทางที่เพิ่มจำนวนเที่ยวบิน ใน 4 เส้นทาง ได้แก่ คุนหมิง กวางโจว ซีอาน และอินชอน

“เฉลิมชัย” มอบนโยบายแก้ปัญหาไฟป่า บูรณาการร่วมกันไม่ให้มีช่องว่าง

“ดร.เฉลิมชัย” รมว.ทส. ซักซ้อมการป้องกันและรับมือปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ ประจำปี 2568 เน้น “รวดเร็ว ตรงเป้า เข้าถึงพื้นที่ มีประสิทธิภาพสูงสุด” มอบนโยบายสำคัญ “บูรณาการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน ชุมชน โดยไม่ให้มีช่องว่าง โดยเฉพาะรอยต่อระหว่างจังหวัด”

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมซักซ้อมการป้องกันและรับมือปัญหาไฟป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ ประจำปี 2568 พร้อมด้วย ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนจากกองทัพภาคที่ 3 ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ นำโดย นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ นอกจากนี้ยังประชุมผ่านระบบออนไลน์ไปยังหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนด้วย

การประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะในปี 2568 ที่คาดการณ์ว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและการทำเกษตรกรรมที่ไม่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาไร่และการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมที่จะมีหมอกควันและฝุ่นละออง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทส. กล่าวถึงนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการจัดการกับปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง โดยเฉพาะฝุ่นละออง PM2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน สำหรับการประชุมในครั้งนั้น นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้รองนายกรัฐมนตรีและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ PM2.5 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเร่งกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวในทุกมิติ ทั้งการจัดการไฟในพื้นที่ป่า พื้นที่การเกษตร ตลอดจนการควบคุมฝุ่นละอองจากยานพาหนะและโรงงานอุตสาหกรรมในเขตเมือง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงได้จัดทำ “มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละออง ปี 2568” ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567 โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ ระดับภาค และระดับจังหวัด เพื่อเป็นกลไกการบริหารจัดการในเรื่องนี้

ขณะที่การประชุมครั้งนี้ ดร.เฉลิมชัยฯ ได้มอบนโยบายและข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวด้วยความ “รวดเร็ว ตรงเป้า เข้าถึงพื้นที่ มีประสิทธิภาพสูงสุด” ประการแรก ขอให้ในทุกพื้นที่บูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ติดต่อระหว่างจังหวัดต้องไม่มีช่องว่าเกิดขึ้น จะเกี่ยงกันไม่ได้ การทำงานข้ามจังหวัดก็ต้องทำงานร่วมกันให้ได้ ที่สำคัญจะทำงานลำพังเฉพาะหน่วยงานของรัฐอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องทำงานร่วมกันกับประชาชนในพื้นที่ ต้องทำความเข้าใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในพื้นที่ ทำงานต้องบุณาการกัน

“วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องใช้ในการทำงาน รวมถึงงบประมาณ และการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมต่างๆ เข้ามาช่วยเสริมในการทำงาน อย่างเช่น โดรน ก็ต้องนำมาใช้ให้ครอบคลุมทั้งการป้องกัน การยับยั้ง ใช้ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยป้องกันเหตุอันไม่พึงประสงค์เกิดกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานได้ ย้ำว่าเรื่องงบประมาณไม่ใช้ปัญหา จะเป็นผู้ประสานมาให้กับทุกหน่วย” รมว.ทส. กล่าว

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน กล่าวต่อว่า เรื่องการสื่อสาร การแจ้งเตือน เป็นอีกเรื่องที่สำคัญเพื่อให้เกิดความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งประเด็นของการสื่อสารคงมิใช่เฉพาะแค่เรื่องไฟป่า ฝุ่นควัน เท่านั้น แต่เป็นการสื่อสารในทุกภัยที่เกิดขึ้น การสร้างความเข้าใจในพื้นที่จะเกิดความร่วมมือเกิดขึ้นได้ ซึ่งเรื่องนี้จะได้มีการประสานกับกระทรวงมหาดไทยในการขอความร่วมมือกับผู้นำท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯ ขอให้ร่วมมือกันในการแก้ปัญหากันอย่างเต็มที่ ปัญหาไฟป่ามาจากคน ก็ต้องใช้คนในการแก้ปัญหา

“ขอให้ทุกหน่วยดำเนินการให้เป็นรูปธรรม สร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้นให้ได้ในทุกพื้นที่ ก็ฝากทั้งกองทัพภาค ทั้งจังหวัด หากแต่อย่างแรกต้องหน่วยงานทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพย์ฯ ต้องเริ่มก่อนในการจะสร้างความร่วมมือกัน จากนั้นจะไปสู่การบูรณาการกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายการทำให้สถานการณ์ไฟป่า ฝุ่นควัน ลดลงกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งการมอบนโยบายวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ว่าจะพยายามมาลงพื้นที่อีก โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปัญหาก็อาจจะไปเองโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าก็ได้”

ทั้งนี้แนวทางการจัดการปัญหาไฟป่า ฝุ่นควัน PM2.5 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีแนวทาง ดังนี้ การบริหารจัดการพื้นที่เสี่ยง : ให้ทุกหน่วยงานร่วมกันบริหารจัดการแบบไร้รอยต่อ โดยมุ่งเน้นไปที่พื้นที่เสี่ยงเผาไหม้ขนาดใหญ่ 14 กลุ่มป่า (Cluster) ที่มีแนวโน้มเกิดไฟป่ามากที่สุด การติดตามสถานการณ์ : ให้มีการติดตามสถานการณ์จุดความร้อน และสนธิกำลังพลจากฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายปกครองและเครือข่ายในการลาดตระเวนและเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ขยายวงกว้าง การควบคุมการเข้าพื้นที่ : ต้องมีการควบคุมและจำกัดการเข้าพื้นที่ป่าในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการลักลอบเผาในพื้นที่ป่า การจัดการการเผาในพื้นที่เกษตร : สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด สำนักสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษในพื้นที่ จะต้องประสานงานกับจังหวัดในการบริหารจัดการการเผาในพื้นที่เกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารสถานการณ์ : ต้องมีการสื่อสารแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นอย่างทั่วถึงและทันท่วงที เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจต่อสถานการณ์แก่ประชาชน การทำงานร่วมกับจังหวัด : ทุกหน่วยงานในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องสนับสนุนการทำงานร่วมกับจังหวัดอย่างเต็มที่ เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพสูงสุด การจัดสรรงบประมาณ : หากงบประมาณไม่เพียงพอให้เร่งขอรับการจัดสรรงบกลาง และสอบถามความต้องการของจังหวัดเพื่อประสานงานกับสำนักงบประมาณโดยด่วน

การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ไฟป่าในปี 2568 โดยมุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสุขภาพอนามัยของประชาชนให้ปลอดภัย ซึ่งการแก้ไขปัญหาไฟป่าไม่สามารถทำได้เพียงแค่หน่วยงานภาครัฐเท่านั้น แต่ยังต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชนทั่วไป ด้วยการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาไฟป่าและผลกระทบที่เกิดขึ้น จะช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะการดำเนินงานตามมาตรการที่ได้มีการกำหนดไว้ เพื่อให้การป้องกัน และแก้ไขปัญหาไฟป่ามีความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

เริ่มแล้วคืนผิวทางใหม่ให้ถนนรอบคูเมือง เฟสแรก “แจ่งก๊ะต๊ำ – แจ่งศรีภูมิ” คาด 20 วัน แล้วเสร็จ

เทศบาลนครเชียงใหม่เดินหน้าโครงการปรับปรุงผิวจราจรถนนรอบคูเมืองเชียงใหม่ ช่วงที่ 1 (แจ่งก๊ะต๊ำ – แจ่งศรีภูมิ) วันแรกได้ระยะ 400 เมตร พรุ่งนี้ปูแอสฟัลท์ติกใหม่ทับทันที ทำทีละช่องทาง คาดใช้เวลา 20 วัน ปิดจ๊อบช่วงที่ 1

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 นายอัศนี บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายภวฤทธิ์ กาญจนเกตุ นายวีรวิชญ์ ธีรสวัสดิ์ นายพิศุทธ์ พิศุทธกุล รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ นางนุสรา ยันตรโกวิท ปลัดเทศบาล นายมนต์ชัย พงษ์เกียรติก้อง รองปลัดเทศบาล นายณภัทร ประเสริฐดี ผู้อำนวยการสำนักช่าง นายเอกพันธ์ พรหมประสิทธิ์ ผู้อำนวยการส่วนวิศวกรรมการก่อสร้าง ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยของโครงการปรับปรุงผิวจราจรรอบคูเมืองเชียงใหม่ ช่วงที่ 1 บริเวณถนนมูลเมือง หน้าบ้านธรรมปกรณ์

โดยในวันนี้ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง เวลาประมาณ 17.00 น. เทศบาลนครเชียงใหม่ เริ่มดำเนินการปรับปรุงพื้นผิวการจราจรใน LOT ที่ 1 เริ่มช่วงแรกบริเวณแจ่งก๊ะต๊ำ (คูเมืองด้านใน หน้าบ้านธรรมปกรณ์) โดยจะเริ่มดำเนินการในจุดชิดขอบทางด้านซ้ายของถนนมูลเมือง ซึ่งเทศบาลนครเชียงใหม่จะปฏิบัติงานเป็นช่วงๆ ช่วงละประมาณ 300 – 400 เมตร จึงขอให้ประชาชนใช้เส้นทางด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากมีการทำงานของเครื่องจักร

ด้าน นายณภัทร ประเสริฐดี ผู้อำนวยการสำนักช่าง เปิดเผยว่า วันนี้เทศบาลนครเชียงใหม่ทำการลอกผิวแอสฟัลท์ติก ผิวเดิมออกได้ประมาณ 400 เมตร จากบ้านธรรมปกรณ์มาถึงบริเวณหน้าโรงแรมเยื้องๆ หลังประตูท่าแพ และในวันพรุ่งนี้จะทำการปูแอสฟัลท์ติกในช่วงที่ลอกออกและทำการลอกผิวทางต่อเนื่องต่อไปจนถึงบริเวณแจ่งศรีภูมิซึ่งเป็นเป้าหมาย LOT แรก โดยคาดว่าจะใช้ทำให้แล้วเสร็จทั้งเส้นในช่วงนี้