มหาวิทยาลัยดังเชียงใหม่ จับมือขับเคลื่อนนิเวศสังคม ก้าวสู่เมืองน่าอยู่ยั่งยืน

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ ทำ MOU ทางวิชาการร่วมมือขับเคลื่อนนิเวศสังคม หวังก้าวไปสู่เมืองน่าอยู่และยั่งยืน ชี้องค์ความรู้ก๊าซเรือนกระจก เป็นเรื่องเฉพาะทางเข้าถึงได้น้อย รอง ผวจ.เชียงใหม่ เชื่อจะเป็นก้าวสำคัญในการจะจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

วันพุธที่ 7 สิงหาคม 2567 ณ ห้องอินทนิล ชั้น 1 สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (UNISERV) นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นเกียรติใน “พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เรื่อง การขับเคลื่อนนิเวศสังคม เพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่และยั่งยืน” ระหว่าง สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวิทยาลัยพหุวิทยาการและสหวิทยาการ โดยมีผู้บริหารสถาบันการศึกษาเข้าร่วม

การริเริ่มความร่วมมือทางวิชาการในการขับเคลื่อนนิเวศสังคม เพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่และยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างความร่วมมือ ส่งเสริม และให้บริการวิชาการด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและด้านการลดก๊าซเรือนกระจก โดยองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นองค์ความรู้เฉพาะทางที่ยังเข้าถึงได้น้อย จึงมีความริเริ่มจะสนับสนุนองค์ความรู้ดังกล่าว ผ่านความร่วมมือเชิงวิชาการ เช่น การอบรม สัมมนา เพื่อเพิ่มพูนและทบทวนความรู้ให้กับบุคลากรทางการศึกษา นักศึกษา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยผู้แทนสถาบันการศึกษาและภาคีเครือข่ายที่ลงนามใน MOU ได้แถลงการณ์การดำเนินงานการขับเคลื่อนนิเวศสังคม เพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่และยั่งยืน และนำเสนอการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มโรงเรียนคาร์บอนต่ำ

ทั้งนี้ นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ชื่นชมภาคีภาควิชาการของมหาวิทยาลัยชั้นนำในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ร่วมมือกันบูรณาการการทำงานด้านวิชาการ ซึ่งการลงนามใน MOU ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวความสำเร็จของทั้งสองมหาวิทยาลัยในการเสริมสร้างทัศนคติการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การสร้างพื้นฐานและแหล่งเรียนรู้ไปกับสังคมแห่งการเรียนรู้ (Knowledge – Based Society) ให้เกิดผลสัมฤทธิ์กับอาจารย์ บุคลากร นักศึกษา พร้อมทั้งสามารถขยายผลการดำเนินงานสู่ชุมชนและสังคมต่อไป

อ.ดอยเต่า สร้างป่าทำคาร์บอนเครดิต มุ่งแก้ PM2.5 อย่างยั่งยืน

อ.ดอยเต่า เชียงใหม่ บูรณาการภาคส่วนต่างๆ จัดตั้งป่าชุมชน ทำคาร์บอนเครดิต หวังแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน PM 2.5 อย่างยั่งยืน

วันที่ 17 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุม อบต.ดอยเต่า อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ นายเพิ่มศักดิ์ ศรีสวัสดิ์ นายอำเภอดอยเต่า เป็นประธานเปิดกิจกรรมการบรรยายให้ความรู้ และร่วมลงพื้นที่ป่าชุมชน เพื่อขับเคลื่อนโครงการ “การจัดตั้งป่าชุมชน และจัดทำคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เพื่อการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ของหมู่บ้าน ชุมชน อย่างยั่งยืน” โดยบูรณาการดำเนินงานร่วมกันระหว่างอำเภอดอยเต่า และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหาร อปท. กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ร่วมโครงการ

ทั้งนี้โครงการมีกิจกรรมสำคัญ ประกอบด้วย การบรรยายให้ความรู้เรื่องการประเมินแหล่งกักเก็บคาร์บอน ของพื้นที่ป่าในพื้นที่ อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ และองค์ความรู้ด้านคาร์บอนเครดิตเพื่อความยั่งยืนของชุมชน (คนป่า) พร้อมกับมีการระดมความคิดเห็นเพื่อวางแผนจัดการจัดตั้งป่าชุมชน และขับเคลื่อนการจัดทำคาร์บอนเครดิต ภาคสมัครใจ (T-VER) เพื่อการแก้ไขปัญหาไฟป่าในระยะยาวอย่างมีส่วนร่วม โดยความร่วมมือของหมู่บ้าน/ชุมชน จากนั้นเป็นการลงพื้นที่บริเวณป่าชุมชน บ้านทุ่งคอกช้าง หมู่ที่ 9 ต.ดอยเต่า เพื่อฝึกภาคปฏิบัติในการคำนวณการประเมินปริมาณคาร์บอน

อุทกภัยถล่มเมืองเชียงใหม่ “ทีมเชียงใหม่” รับมือได้จริงเหรอ

วันนี้มีการแถลงข่าวสื่อมวลชนประจำสัปดาห์จังหวัดเชียงใหม่ จัดกันที่ห้องเดิม ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ผมไม่ได้ไปอีกเช่นเคย หากแต่เข้าไปรับฟังทางออนไลน์ชั่วขณะหนึ่ง เป็นวาระเรื่อง….

การเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยและโคลนถล่ม 2567

บทสรุปจากห้องแถลงข่าวคือ “ทีมเชียงใหม่” ได้เตรียมการไว้พร้อม เพียงพอจะรับมือน้ำหลากน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่

มันจริงเหรอ ถ้าจริง จะจริง ซักกี่เปอร์เซ็นต์

จุดเสี่ยงต่างๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่เริ่มพูดกันตั้งแต่สมัยผู้ว่าคนก่อน ประจญ ปรัชญ์สกุล วันนี้มีจัดไหนบ้างล่ะที่ได้รับการแก้ไขไปแล้วเสร็จสิ้นสมบูรณ์ 100%

แยกข่วงสิงห์ น้ำจากดอยสุเทพไหลผ่านซอยศศิธรมาท่วมตรงแยกฝากจะมา ม.ราชภัฏเชียงใหม่ กว่า 2 ปี มีการตรวจสอบพบว่า ระบบท่อระบายน้ำสุดพิสดาร ท่อระบายน้ำบนถนนโชตนาขนาด 1 เมตร มีท่อขนาด .80 เมตรมาเชื่อมต่อไปกลางแยกข่วงสิงห์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ไม่มีการเชื่อมท่อให้ระบายกับท่อขนาด 1.20 เมตร ข้างถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง ก็ท่อบริเวณทั้งด้านหน้าและด้านข้างร้านมนตรีนั่นล่ะ ที่ท่อมันไม่เชื่อมกันทำให้การระบายน้ำไม่มีประสิทธิภาพ

แก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือ เอาเครื่องสูบน้ำมาจุ่มดูดตรงบ่อพักสุดท้ายแจ่งถนนโชตนา แล้ววายสายไปปล่อยลงบ่อพักบนถนนซุปเปอร์หน้าร้านมนตรี ทำให้ระบายได้

2 ปีผ่าน ถามว่า…เชื่อมท่อ กันหรือยัง ถ้ายังล่ะก็…ท่วมแน่

จุดนี้ลำพัง เทศบาลนครเชียงใหม่จ่อที่จะแก้ไข มีแบบมีแผนไว้ชัดแล้ว ถามไปที่ แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 และ กรมทางหลวง ละกัน อนุญาตละยัง

อีกจุด ถนนทางเข้าท่าอากาศยานเชียงใหม่ ช่วงหน้าปั้ม ปตท. ปัญหาที่เจอคือ ท่อระบายน้ำมีขนาดเล็ก น้ำระบายไม่ทัน เทศบาลตำบลสุเทพ รับหน้าเสื่อดำเนินการแก้ไข จัดนี้มีเงินรอจะทำ มี ปร.4 ปร.5 ติดแค่…การอนุญาตให้ใช้พื้นที่ดำเนินการ ซึ่งขอไปที่กองทัพอากาศ ทอ.ใช้เวลาร่วมปีอนุญาต ปรากฏว่า งบตก เป็นงบ อบจ.ที่จะนำมาใช้แก้ปัญหา เหตุว่านานเกินเงินรอไม่ได้

ถามว่า…วันนี้ได้ก่อสร้างปรับปรุงแล้วเหรอ

แยกบิ๊กซี แม่เหียะ จุดนี้บอกได้เลย ผ่านไป 2 ปี ไม่ได้ทำอะไรเลย ตกหนักๆ ยังไงก็ท่วม เอาเฉพาะแค่ในบิ๊กซี ตั้งตัวอาคาร ทั้งลานจอดรถ พื้นที่รับน้ำฝนเท่าไร ตกมาเท่าไรก็เทลงถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี มากเท่านั้น พูดคุยกันว่าจะให้บิ๊กซีสร้างบ่อรับน้ำฝน ป่านนั้นจนป่านนี้ ไม่มีอะไรคืบ

หน่วยงานรับผิดชอบคือ เทศบาลเมืองแม่เหียะ ไม่รู้จะจำปัญหานี้ได้อีกไหม เชื่อว่าจะคิดออกก็ตอน้ำท่วมนั่นล่ะ

เอาแค่ 3 จุด แค่นี้ก่อน ล้วนเป็นจุดที่ไชว์หน้าตาเมืองเชียงใหม่ได้อย่างดีเยี่ยม “ทีมเชียงใหม่” ตอบให้ชื่นอกชื่นใจหน่อยเป็นไรว่า…ทุกจุดแก้เรียบร้อยแล้ว

นี่ยังไม่ได้แตะ “แม่น้ำปิง” ที่ ณ เพลานี้ การหลากของน้ำเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง อีกอย่าง One Map ที่มีในมือมีการอัพเดทหรือไม่อย่างไร

แก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ เพียงแค่มโนไม่ได้ มันต้องทำกันอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และทำทั้งระบบเชื่อมโยงกัน ถึงจะเรียกได้ว่า…พร้อม เอาอยู่

ธัชชัย
6 ส.ค. 67

กกต ส่งเสริมการเลือกตั้งนายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย

กกต ส่งเสริมประชาธิปไตยให้กับกลุ่มเยาวชน จัดการเลือกตั้งนายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา ด้านเจ้าหน้าที่ กกต.ที่ลงพื้นที่จัดการเลือกตั้งบอกว่า การส่งเสริมประชาธิปไตยในระดับเยาวชน เป็นนโยบายที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ปลูกฝังให้เยาวชนรักษาสิทธิ์และรู้หน้าที่ของตนเอง

ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่จาก สำนักงาน กกต.เชียงใหม่ ได้จัดการลงคะแนนเลือกตั้งนายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา ประจำปีการศึกษา 2568 มีนักศึกษาจำนวนกว่า 4 พันคน อายุตั้งแต่ 15 – 19 ปี ได้มีสิทธิ์เลือกตั้งในครั้งนี้ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตย ของนักศึกษาวิทยาลัยโปลิเทคนิคลานนาฯ ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ทางวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดเชียงใหม่ มาร่วมให้ความรู้ และสนับสนุนเครื่องลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มเปิดให้ลงคะแนนตั้งแต่เวลา 08.30 น. และปิดการลงคะแนนในเวลา 15.00น. ณ อาคารเอนกประสงค์ วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา เชียงใหม่

การเลือกตั้งครั้งนี้ เหมือนการเลือกตั้งจริงที่นักศึกษาต้องมาตรวจสอบรายชื่อของผู้มีสิทธิ์การเลือกตั้ง ก่อนหลังจากนั้นจึง ดูรายชื่อของผู้สมัครเลือกตั้งนายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย ประจำปีการศึกษา 2568 ทุกคนต้องแสดงบัตรประชาชน หรือบัตรประจำตัวนักศึกษา ต่อเจ้าหน้าที่พร้อมลงชื่อใช้สิทธิ์ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่กกต. และเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำ การใช้สิทธิ์ กดเลือกลงคะแนนตามเลขและรายชื่อ ของผู้สมัคร ใช้เวลาต่อคนไม่ถึง 10 วินาทีบางรายอาจจะใช้ 20 – 30 วินาที

เสียงจากน้องคณะกรรมการเลือกตั้งและน้องผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตกับการเลือกตั้ง และใช้เครื่องกดลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์แบบนี้ ร้อยละ 99 บอกตื่นเต้นมาก เพราะทุกคนเป็นครั้งแรกในชีวิตได้ใช้เครื่องและลงคะแนนแบบนี้ แต่พอได้ใช้แล้วสะดวก รวดเร็ว เพียงกดหมายเลขหรือชื่อตามที่เราเลือกไว้ แล้วกดยืนยัน ใช้เวลาไม่นาน ที่สำคัญมีความบริสุทธิ์ ยุติธรรมโปร่งใสมาก เพราะกดหมายเลขก็จะทำให้ทราบถึงผลคะแนนทันที่ ตรงตามจำนวนของผู้มาใช้สิทธิ์ ไม่มีบัตรเสีย บัตรเขย่ง ทราบผลทันที หากได้นำมาใช้จริงในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ ก็จะดีหมดปัญหาการโกงผลการเลือกตั้งได้

ด้าน อ.ศิรภพ เจริญกุศล รองผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา เชียงใหม่ เปิดเผยว่า การเลือกตั้งนายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา ซึ่งกระบวนการของการคัดเลือกนายกฯ เริ่มจากการเลือกตัวแทนผู้สมัครการเลือกประธานวิชาชีพแต่ล่ะสาขาวิชา ทั้งหมด 12 สาขา หลังจากนั้นประธานสาขาวิชาได้เสนอตัวเข้ามารับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทยฯ ประจำวิทยาลัย โดยทางวิทยาลัยได้จัดให้ผู้สมัคร ได้แสดงวิสัยทัศน์ตามเวทีและโอกาสต่างๆเช่นเวทีโรงอาหารตอนพักเที่ยง และช่วงที่วิทยาลัยมีการจัดกิจกรรมต่างๆเช่นถวายเทียนพรรษา นอกจากนี้ยังได้ผู้สมัครถ่ายคลิบวีดีโอ แสดงวิสัยทัศน์เผยแพร่ในเพจเฟสบุ๊คของวิทยาลัย และช่องทางโซเชี่ยลอื่นๆ เพื่อให้นักศึกษาต่างสาขาวิชารวมถึงนักศึกษา ทั้งหมดได้รับทราบถึงวิสัยทัศน์และนโยบายของผู้สมัครอีกด้วย ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่ที่ศึกษาอยู่จะมีอายุตั้งแต่ 15 – 19 ปี บางรายยังไม่ได้มีสิทธิ์เลือกตั้ง จึงหวังว่าการจัดการเลือกตั้งในสถานศึกษาครั้งนี้ จะเป็นการปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตยให้กับเยาวชน แต่สิ่งที่ได้นอกเหนือจากการได้ตัวแทนนายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทยฯ ประจำวิทยาลัย ตนมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ผู้บริหารวิทยาลัยฯ ได้ปลูกฝังกับนักศึกษา ใช้ความคิด ความร่วมมือ ความเข้าใจในการระบอบประชาธิปไตยในสถานศึกษา จะสามารถต่อยอดใช้ระบอบประชาธิปไตยในสังคมทั้งการเคารพเสี่ยงข้างมาก และรับฟังเสียงข้างน้อยที่สะท้อนปัญหาออกมา การรู้จักสิทธิ์หน้าที่ของตน การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งความเห็นที่แตกต่างจะไม่นำไปสู่การแตกแยกแต่จะเป็นการร่วมกันสะท้อนปัญหาและร่วมกันแก้ไขปัญหาร่วมกันและร่วมกันพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาทางวิทยาลัยฯได้เปิดโอกาสในนักศึกษาได้มีความร่วมและแสดงความคิดเห็นในการจัดกิจกรรมต่างๆรวมถึงกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ กิจกรรมที่นักศึกษาทำร่วมกับชุมชน รวมถึงกิจกรรมในวันสำคัญต่างๆ วิทยาลัยฯจะเปิดโอกาสให้นักศึกษามีส่วนร่วม และบางกิจกรรมนักศึกษาก็สามารถดำเนินการด้วยตนเองทั้งหมดยกตัวอย่างเช่นการจัดการเลือกตั้งนายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา วันนี้ที่จัดโดยตัวองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย ประจำวิทยาลัยฯ ชุดปัจจุบันที่กำลัง จะหมดวาระในไม่นานนี้ นายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา และตัวองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย ประจำวิทยาลัยฯ ที่ได้รับการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีโอกาสเข้าร่วมงานกับตัวแทนองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย ระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศต่อไปโดยจะร่วมงานกับตัวแทนองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย จากสถาบันการศึกษาอาชีวะทั้งรัฐ และเอกชน เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมการพัฒนานักศึกษาด้านต่างๆ ต่อไป

 

ขณะที่ นายชีรีนคาน ดาดูเคล นายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา เปิดเผยถึงการวางแผน การจัดการเลือกตั้งนายกองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา เริ่มแรกได้เรียกประชุมประธานชมรมวิชาชีพในวิทยาลัยฯเพื่อคัดเลือกหมายเลขผู้สมัครนายกฯ หลังจากเมื่อผู้สมัครแต่ล่ะท่านได้หมายเลขผู้สมัครแล้วจึงได้ติดต่อประสานงานกับ กกต.เชียงใหม่ เพื่อขอสนับสนุนอุปกรณ์การเลิอกตั้งหลังจากนั้นจึงกำหนดวัน เวลา เลือกตั้งฯจึงได้จัดสรรนักศึกษาแต่ล่ะสาขาวิชาชีพ แต่ล่ะห้องว่าสะดวกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งช่วงไหน โดยดูจากตารางเรียน เพื่อไม่ให้กระทบการเรียนการสอนของนักศึกษา นอกจากนี้หากปล่อยให้นักศึกษามาใช้สิทธิ์ครั้งเดียวก็อาจจะเกิดความวุ่นวายได้เนื่องจากนักศึกษาในวิทยาลัยมีทั้งหมด 4 พันคน ส่วนการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครนายกฯและการแนะนำตัวเองของผู้สมัคร ทางองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย วิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนา ได้กำหนดให้ผู้สมัครได้ทำแผ่นโปสเตอร์แนะนำตัวเองมาติดตามจุดต่างๆในวิทยาลัยฯที่กหนดไว้ นอกจากนี้ยังได้มีการจัดเวทีใหญ่ให้ผู้สมัครแนะนำตนเองและจัดทำคลิบวีดีโอแสดงแสงวิสัยทัศน์เผยแพร่ในช่องทางโซเชี่ยลของวิทยาลัยฯ ส่วนการแนะนำตัวเอง การแสดงวิสัยทัศน์ ผู้สมัครจะเป็นคนคิดเองแต่ทางคณะกรรมการจะกำหนดไม่ไห้ผู้สมัครพูดจาลักษณะเชิงสร้างสรรค์ ห้ามโจมตีกันเป็นต้น

ด้าน นายสุรเชษฐ์ อินทจักร พนักงานสืบสวนและไต่สวน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งให้ความสำคัญในการส่งเสริมประชาธิปไตย ให้กับกลุ่มเยาวชน ถึงแม้ว่าเยาวชนในสถานศึกษาส่วนใหญ่จะยังไม่เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เนื่องจากยุคปัจจุบันเยาวชนส่วนใหญ่มีความตื่นตัวเรื่อง สิทธิ เสรีภาพ เพราะฉะนั้นหากกลุ่มเยาวชนได้มีโอกาสในการทดลองเลือกตั้งบุคคลที่จะมาเป็นตัวแทนของเขา ทาง กกต. เชื่อว่า จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการปลูกฝังระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจากการการที่เจ้าหน้าที่ได้มีโอกาสไปจัดการเลือกตั้งตามสถานศึกษาต่างๆพบว่าเยาวชนกลุ่มนี้ต่างตื่นตัวออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจะมีนักเรียน นักศึกษาบางส่วนที่ไม่ได้มาใช้สิทธิ์ เนื่องจากขาด และลาเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้มีโอกาสนำเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ไปสนับสนุนการเลือกตั้งให้กับนักเรียนระดับอนุบาล จนถึงผู้สูงอายุที่มีการเลือกตั้งผู้นำชมรม สมาคมต่างๆ และได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

“ภูมิธรรม” แจงเลื่อนแถลงลงทะเบียนร้านค้า “ดิจิทัลวอลเล็ต” เกรงเกิดการสับสน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงการเลื่อนการแถลงข่าวการลงทะเบียนร้านค้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชนสับสน

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวที่จังหวัดเชียงใหม่ถึงการเลื่อนแถลงข่าวลงทะเบียนร้านค้าเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จากที่กำหนดไว้ในวันพรุ่งนี้ วันที่ 5 สิงหาคม 2567 ว่า เรื่องการเตรียมร้านค้า เป็นภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ และได้เตรียมการมาอย่างต่อเนื่องไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่สิ่งที่เราประเมินคือไม่อยากให้พี่น้องประชาชนสับสน เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงให้ประชาชนลงทะเบียน และมีทะลักเข้ามาลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ตจนถึงวันนี้ กว่า 23 ล้านคน นอกจากนั้น ประชาชนยังมีความสนใจที่จะลงทะเบียนจำนวนมากอีกด้วย

“ตอนนี้ควรให้ผ่านช่วงลงทะเบียนประชาชนไปก่อน ซึ่งกว่าเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะออกประมาณเดือนพฤศจิกายน และการลงทะเบียนร้านค้า เริ่ม 1 ตุลาคม 2567 ยังมีเวลาเหลืออีก 2 เดือน โดยเลื่อนไปก่อนจะได้ไม่ให้สับสน เอาเรื่องคนลงทะเบียนให้จบ และจากนี้เอาเรื่องร้านค้ามาทีเดียว ขณะนี้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เดินเรื่องมีการสอบถามหน่วยงานเอกชนต่างๆ รวมทั้งร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการอีกด้วย” นายภูมิธรรมฯ กล่าว

รองนายกรัฐมนตรี หารือนักธุรกิจรุ่นใหม่ จ.เชียงใหม่

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ติดตามความพร้อมของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัลและหารือนักธุรกิจรุ่นใหม่เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาในทุกมิติ อย่างยั่งยืน

ที่ ตลาดต้นพยอม ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และคณะลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมและติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าตลอดจนสอบถามความพร้อมของผู้ประกอบการค้าปลีก-ส่ง ที่เข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ซึ่งพ่อค้า-แม่ค้าที่ตลาดต้นพยอมส่วนใหญ่พร้อมเข้าร่วมโครงการและยังมั่นใจที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อีกด้วย

หลังจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะได้เดินทางไปยังโรงแรมแชงกรี-ลา เชียงใหม่ เพื่อประชุมหารือร่วมกับ กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ YEC (Young Entrepreneur chamber of commerce) กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ YSF (Young Smart Farmer) สมาพันธ์ SMEs และกลุ่ม MOC Biz Club ของจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนรับฟังและร่วมแก้ไขปัญหาภายในพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาในทุกมิติ อย่างยั่งยืน

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบและติดตามในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญของกระทรวงพาณิชย์ที่เดินหน้ามาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 2567 ดูแลผลไม้อย่างใกล้ชิด โดยล่าสุด เป็นคิวของลำไยภาคเหนือ ที่กำลังออกสู่ตลาด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ประสานผู้ประกอบการ ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก เข้าไปรับซื้อผลผลิตลำไยจากเกษตรกรทั้งจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ ซึ่งจะช่วยเร่งระบายผลผลิตให้กับเกษตรกรพื้นที่ และร้านค้าโครงการเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่พร้อมที่จะเข้าร่วมเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อีกด้วย

ทะเบียนเลขสวย “งบ” ได้เงิน 27 กว่าล้านบาท 9999 ยังแชมป์ได้เงิน 1.2 ล้านบาท

ประมูลทะเบียนรถเลขสวย “งบ” ได้เงินเข้า กปถ. กว่า 27 ล้านบาท 9999 ยังครองแชมป์ ปิดจบที่ 1.2 ล้าน 8888 ก็ใช่ย่อย หยอดที่เดียว 1 ล้าน อื้งกันทั้งห้องประชุม ส่วนเลขที่สู้กันมันหยอด 5555 สู้กันถึง 53 รอบ แรกจะจบที่ 555,555 บาท แต่ไม่จบมีหยอดต่อ ลุ้นกันสุดๆ

วันที่ 3 ส.ค. 67 ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติดิเอ็มเพรส โรงแรมดิเอ็มเพรส จ.เชียงใหม่ นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถสวย รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง) ครั้งที่ 34 ในหมวดอักษร “งบ” จำนวน 301 หมายเลข ซึ่งเป็นการประมูลทางวาจาและทางอินเทอร์เน็ต หมวดอักษร งบ มีความหมายว่า “เงินมั่งคั่ง งานมั่งคง บริหารธุรกิจรุ่งเรือง” โดยมี นายมานพ พุทธวงค์ ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเปิดงาน


.
สำหรับการเปิดประมูลเลขทะเบียนรถสวยรถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง) ในครั้งนี้ มียอดการประมูลรวมทั้งสิ้น 27,715,000 บาท ซึ่งยอดมากกว่าการประมูลครั้งที่ 33 ที่ผ่านมา โดยการประมูลหมายเลขทะเบียนรถเลขสวยครั้งนี้ หลายหมายเลขปิดราคาไปในราคาที่จับต้องได้ ไม่สูงมาก ส่วนที่มีการแข่งขันกันดุเดือดยังคงเป็นหมายเลขในกลุ่ม 2 และกลุ่ม 1

กลุ่ม 2 หมายเลขชุดแรก เป็นชุดคู่ 89 หมายเลข 8899 สู้ราคากันถึง 27 ครั้ง ราคาปิดที่ 159,000 บาท หมายเลข 8998 สู้ราคากัน 25 ครั้ง ปิดราคาที่ 146,000 บาท และเลข 8989 สู้กัน 20 รอบ ราคาชนะปิดที่ 162,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดของกลุ่มนี้

ส่วนกลุ่มที่แข่งขันกันสุดๆ ยังคงเป็นกลุ่ม 1 กลุ่มเลขโฟร์ สู้กันสุดจริงเป็นหมายเลข 5555 สู้กันทั้งสิ้น 53 รอบ แข่งราคามาถึง 555,555 บาท เกือบจะเคาะปิดจบแล้ว แต่ยังมีคนเคาะราคาเพิ่มสู้ต่อ ที่สุดไปจบที่ 630,000 บาท อีกหมายเลขที่สร้างความฮือฮาอย่างมากคือหมายเลข 8888 ที่สู้ราคามาที่ราว 5 แสนกว่าๆ ในห้องประมูลเสนอราคาตูมเดียว 1,000,000 บาท อื้อหือกันทั้งห้องประมูล แล้วก็ปิดราคาที่ 1 ล้านบาท โดยมีไม่ใครเสนอต่ออีกทั้งในห้องประมูลและทางอินเทอร์เน็ต ส่วนหมายเลขที่ยังคงครองแชมป์ยอดประมูลสูงสุดยังคงเป็นหมายเลข 9999 แข่งขันกัน 39 รอบ ปิดจบที่ราคา 1,200,000 บาท

ทั้งนี้ รายได้จากการประมูลป้ายทะเบียนจะถูกนำเข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน หรือ กปถ. เพื่อสนับสนุนส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้รายได้จากการประมูลทะเบียนรถเลขสวยยังไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน เพื่อเยียวยาและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ผู้ได้รับผลกระทบได้รับรอยยิ้มการจากเยียวยาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อีกด้วย

“นโยบายลุงนิด” เดือนสุดท้าย เข้มข้นแก้ปัญหายาเสพติด มท. สั่งทุกจังหวัดเร่งรัด “Re X-ray”

ปลัด มท. สั่งการ ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ติดตามเร่งรัดดำเนินการ “Re X-ray” ค้นหาผู้เสพและผู้ค้ายาเสพติดในทุกพื้นที่ เน้นย้ำนำผู้ป่วยยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู ส่งเสริมการพัฒนาอาชีพให้กลับคืนสู่สังคมอย่างปกติสุข มุ่งมั่นแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน

วันนี้ (2 ส.ค. 67) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือแจ้งให้ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด (ศอ.ปส.จ.) ทุกจังหวัดบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ปฏิบัติการตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยดำเนินการให้ครอบคลุม ทั้งด้านการป้องกัน การปราบปราม การบังคับใช้กฎหมาย การบำบัดรักษายาเสพติด และการดำเนินการค้นหาผู้เสพผู้ติดยาเสพติด ผู้ค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด (Re X-ray) ในพื้นที่ตำบลหมู่บ้านอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยกรณีผู้ค้าและผู้ผลิตให้จับกุม และดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด สำหรับผู้เสพผู้ติดยาเสพติด ให้นำเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดทันที

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ใช้แนวทางในการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเชิงรุก ควบคู่กับนโยบายการจัดระเบียบสังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคีเครือข่าย ภาครัฐ อาทิ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ป.ป.ส. หน่วยงานด้านสาธารณสุข และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาควิชาการ ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน เข้าร่วมปฏิบัติการ Re X-ray สถานบริการและสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายกับสถานบริการ พร้อมทั้งรับแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดและการสกัดจับเครือข่ายผู้ค้ารายใหญ่ และรายย่อยที่ลักลอบขนย้ายยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย โดยไม่มีการยกเว้น

“เพื่อให้การแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะการบำบัด รักษา และฟื้นฟูสภาพทางสังคมผู้ติดยาเสพติดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด ดำเนินการมาตรการเร่งรัดการดำเนินการค้นหาผู้เสพผู้ติดยาเสพติด ผู้ค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด (Re X-ray) โดยขอความร่วมมืออำเภอทุกอำเภอดำเนินการค้นการค้นหาผู้เสพผู้ติดยาเสพติด ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยดำเนินการขอความร่วมมือจากบุคคลในครอบครัว หัวหน้าสถานศึกษา ผู้นำศาสนา หรือ หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เจ้าของสถานประกอบการ แจ้ง หรือ ให้ข้อมูลบุคคลในครอบครัว บุคคลในปกครองดูแล ลูกจ้างพนักงาน ที่เสพ หรือ ติดยาเสพติด เพื่อนำไปสู่กระบวนการบำบัดรักษา และขอความร่วมมือจากชุมชน ผู้นำชุมชนหมู่บ้าน หัวหน้าสถานศึกษา ผู้นำศาสนา ผู้ประกอบการหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และประชาชน ให้ข้อมูลผู้เสพผู้ติดยาเสพติด เพื่อนำไปสู่กระบวนการบำบัดรักษา โดยใช้สายด่วน 1567” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว

 

ที่มา : กระทรวงมหาดไทย

ชลประทานเพิ่มการระบายน้ำ ย้ำไม่ส่งผลกระทบพื้นที่ด้านท้าย เผยระดับน้ำแม่น้ำปิงยังปกติ

สถานการณ์น้ำแม่น้ำปิงยังปกติ คป.เชียงใหม่เพิ่มการระบายน้ำ ทั้ง ปตร.ท่าวังตาล ฝายดอยน้อย ปตร.แม่สอย ยันยังรักษาระดับที่ไม่ส่งผลกระทบพื้นที่ด้านท้าย พร้อมแจ้งเตือนสถานีสูบน้ำและกระชังเลี้ยงปลาให้ทราบแล้ว

วันที่ 2 สิงหาคม 2567 โครงการชลประทานเชียงใหม่ รายงานการเพิ่มการระบายน้ำเพื่อรองรับน้ำหลากจากพื้นที่ต้นน้ำ ของลำน้ำปิง และลำน้ำสาขา ว่า ที่ประตูระบายน้ำท่าวังตาล ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้เพิ่มการระบายน้ำ ปริมาณ 110 ลบ.ม./วินาที โดยรักษาระดับน้ำไม่เกิน 300.8 ม.(รทก) ทั้งนี้ไม่เกิดผลกระทบกับท้ายน้ำ

ฝายดอยน้อย ต.ดอยน้อย อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ได้เพิ่มการระบายน้ำปริมาณ 118.02 ลบ.ม./วินาที โดยรักษาระดับน้ำไม่เกิน278.10 ม.(รทก.) ทั้งนี้ได้แจ้งสถานี สูบน้ำด้วยไฟฟ้าด้านเหนือน้ำ- ด้านท้ายน้ำ และผู้เลี้ยงปลากระชังในพื้นที่รับทราบโดยทั่วกันแล้ว

ส่วนที่ประตูระบายน้ำแม่สอย ต.แม่สอย อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ได้เพิ่มการระบายน้ำในปริมาณ 132.29 ลบ.ม./วินาที โดยรักษาระดับน้ำไม่เกิน 264.50 ม.(รทก.) และได้แจ้งเตือนสถานีสูบน้ำทั้งด้านเหนือน้ำและด้านท้ายน้ำ ในกลุ่มเครือข่ายประตูระบายน้ำแม่สอยได้รับทราบโดยทั่วกันแล้ว

ทั้งนี้ภาพรวมสถานการณ์น้ำของแม่น้ำปิงยังอยู่ในระดับปกติ โครงการชลประทานเชียงใหม่ ร่วมกับ สำนักงานชลประทานที่ 1 ได้สั่งการและมอบหมายเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

เล่น Zipline ใกล้จบเจอ ต้นไม้โค่นทับสะพาน นทท.จีน ดับ 1 บาดเจ็บอีก 1

ต้นไม้โค่นทับสะพานเล่น Zipline นักท่องเที่ยวจีนคู่สามีภริยาเจอจะจะตันไม้ทับ ร่างกระเด็นร่วงลงพื้นสูงกว่า 15 เมตร ภรรยาเสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล ส่วนสามีได้รับบาดเจ็บแขนขาผิดรูป

วันที่ 1 สิงหาคม 2567 อำเภอดอยสะเก็ด รายงานว่า เวลาประมาณ 14.30 น. อำเภอดอยสะเก็ดได้รับแจ้งเกิดเหตุนักท่องเที่ยวชาวจีนประสบอุบัติเหตุขณะเล่นเครื่องเล่น Zipline โดยเหตุเกิดในพื้นที่ Jungle Flight Chiang Mai หมู่ที่ 2 ต.เทพเสด็จ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 1 ราย และบาดเจ็บอีก 1 ราย

จากการสอบถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทราบว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนทั้ง 2 ราย เป็นสามีภรรยา เดินทางมาเล่นเครื่องเล่น Zipline ในพื้นที่เกิดเหตุ ขณะกำลังจะเดินทางกลับจากจุดเล่นฐานสุดท้ายมายังบริเวณสำนักงาน ต้นไม้ในบริเวณนั้นเกิดล้มลงมาทับบสะพานสลิงที่นักท่องเที่ยวทั้ง 2 คน กำลังเดินผ่าน เป็นเหตุให้ นาง Jing Chen อายุ 44 ปี สัญชาติ จีน และ นาย Liu Yang อายุ 46 ปี สัญชาติ จีน โดนต้นไม้หล่นทับและกระเด็นตกสะพานสลิง ซึ่งสูงจากพื้นดิน 15 เมตร โดยร่างกระเด็นลงมาบนพื้นดิน

ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัยได้นำตัวทั้งสอง ส่งโรงพยาบาลดอยสะเก็ด และทราบต่อมาว่า นาง Jing Chen ได้เสียชีวิตขณะนำตัวส่งโรงพยาบาลดอยสะเก็ด ส่วน นาย Liu Yang ได้รับบาดเจ็บกระดูกแขนและขาผิดรูป และถูกนำตัวส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม ทั้งนี้นักท่องเที่ยวทั้ง 2 ราย ได้ทำประกันชีวิตกับ บริษัท จังเกิ้ล ไฟลท์ จำกัด ไว้ด้วย

ทั้งนี้นายอำเภอดอยสะเก็ดได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรดอยสะเก็ด ลงพื้นที่ตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้งแล้ว